MRDIYT มั่นใจเหนือจอง วางเป้าขยายสาขาแตะ 1,500 แห่ง ภายในปี 70

MRDIYT เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯวันแรก (5 พ.ย.68) มั่นใจราคาหุ้นวิ่งเหนือจอง 8.60 บาท มาร์เก็ตแคปใหญ่สุดรอบ 3 ปี แตะ 51,747 ล้านบาท พร้อมแผนขยาย 500 สาขาภายใน 3 ปี ตั้งเป้าครบ 1,500 สาขาทั่วไทยปี 2570 ตอกย้ำผู้นำค้าปลีกตกแต่งบ้าน หลังทำอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 48% และ ROE เฉลี่ย 40% สูงสุดในกลุ่มค้าปลีก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 พ.ย.68) หลักทรัพย์ของ บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MRDIYT เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก และถือเป็น IPO ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ใหญ่ที่สุดในรอบ 3 ปี โดยหุ้นเทรดภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดพาณิชย์ใช้ชื่อย่อ “MRDIYT” ในการซื้อขายหลักทรัพย์

โดย MRDIYT ประกอบธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป ภายใต้แบรนด์ “MR. D.I.Y.” ที่มีสาขามากที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย เริ่มดำเนินธุรกิจในไทยตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบันมีร้านค้า 1,027 สาขา ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าทุกคนได้ครบทุกสิ่งในทุกวัน ด้วยราคาถูกคุ้มเสมอตามพันธกิจ “Always Low Prices” ด้วยการจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเอง และสินค้าของบุคคลภายนอก โดยบริษัทมีสินค้าหลากหลายกว่า 16,000 รายการ ครอบคลุม 6 กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ เครื่องใช้ในครัวเรือนและอุปกรณ์แต่งบ้าน อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และเครื่องมือช่าง เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา ของเล่น และสินค้าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ

สำหรับ MRDIYT มีทุนชำระแล้วหลัง IPO จำนวน 3,008 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) รวม ไม่เกิน 655,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น ไม่เกิน 10.9% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดหลังจากการเพิ่มทุนและการเสนอขายในครั้งนี้ โดยการเสนอขายดังกล่าวประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ จำนวนไม่เกิน 420,000,000 หุ้น, และหุ้นสามัญเดิมจำนวนไม่เกิน 235,000,000 หุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 8.60 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 5,633 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO  51,747 ล้านบาท

โดยมีบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบล.บัวหลวง,บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เป็นตัวแทนจำหน่ายหุ้น

สำหรับการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำเงินไปใช้เพื่อ เพื่อพัฒนาและขยายสาขา การพัฒนาระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ และการชำระคืนเงินกู้ที่มีกับสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เป็น เงินทุนหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นายแอนดี้ ชิน กวานกุ้ย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MRDIYT กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของบริษัทที่จะช่วยขับเคลื่อนกลยุทธ์การเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดค้าปลีกสินค้าตกแต่งบ้านในไทย การระดมทุนครั้งนี้ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของตลาดที่มีต่อวิสัยทัศน์ระยะยาวของบริษัท รวมถึงโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งและความทุ่มเทของทีมงาน บริษัทจะยังคงมุ่งมั่นสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้น พร้อมส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้แก่ลูกค้าในประเทศไทย

ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO และหลังการขายหุ้นสามัญเดิมในวันแรก ประกอบด้วย 1) กลุ่ม Mr. Tan Yu Yeh และ Mr. Tan Yu Wei ถือหุ้น 34.23% ,2) บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. จำกัด ถือหุ้น 25.09% และ 3) กลุ่มนายจอมพงษ์และนางสาวฐิตานันท์ ถือหุ้น 18.99%

โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เพื่อประโยชน์ของกิจการและผู้ถือหุ้นเป็นหลัก

สำหรับ MRDIYT วางกลยุทธ์การเติบโตโดยกางแผนขยายสาขาทั่วประเทศไทยด้วยการเพิ่มสาขาใหม่ไม่น้อยกว่า 500 สาขาภายในระยะเวลา 3 ปี (พ.ศ. 2568–2570) เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการในทุกวันด้วยราคาถูกคุ้มเสมอ (“Always Low Prices”) ผ่านสินค้าที่หลากหลายและสาขาที่ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกสบาย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทั่วประเทศ

นอกจากนี้ MRDIYT มีแผนลงทุน 4.5 พันล้านบาท เพื่อสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติขนาดใหญ่ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (supply chain) ให้สามารถรองรับการเติบโตของบริษัทได้มากกว่า 1,500 สาขาหลังปี พ.ศ. 2570 พร้อมทั้งเดินหน้าพัฒนาประสิทธิภาพด้านต้นทุนอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ MRDIYT มีรูปแบบร้านค้า 2 รูปแบบ ได้แก่ (1) สาขานอกศูนย์การค้า (STANDALONE) มีจำนวน 737 สาขา (ร้อยละ 71.8) และ (2) สาขากายในศูนย์การค้า (RETAIL MALL-BASED) มีจำนวน 290 สาขา (ร้อยละ 28.2) โดย MRDIYT มีระบบบริหารสินค้าคงเหลือและกระจายสินค้าส่วนกลางในการสนับสนุนการดำเนินงานของสาขา โดยมีศูนย์กระจายสินค้ากลาง ซึ่งประกอบด้วยคลังสินค้า จำนวน 8 แห่ง ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันในจังหวัดสมุทรปราการ และศูนย์กระจายสินค้าภูมิภาคอีก 3 แห่ง ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา ตาก และสุราษฎร์ธานี และมีการกระจายสินค้าไปยังสาขาทั่วประเทศไทย

ทั้งนี้ความแข็งแกร่งของบริษัทฯ สะท้อนจากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี (ปี 2565–2567) ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยร้อยละ 48 ส่วนครึ่งปีแรก 2568 (มกราคม-มิถุนายน) มีอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 51.7 ตอกย้ำถึงการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ จากการการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) โดยรวมปริมาณการจัดซื้อสินค้าแบบ Global Sourcing กับกลุ่มมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ที่มีสาขาทั้งหมด 5,000 สาขา ใน 14 ประเทศ รวมทั้งการนำเสนอสินค้าใหม่ 500 รายการต่อเดือน เพื่อตอบสนองกับความของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดและทดแทนสินค้าเดิมบางส่วน ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี2565-2567) มีอัตราเฉลี่ยร้อยละ 40 สูงสุดในอุตสาหกรรมค้าปลีกของไทย

สำหรับผลประกอบการปี 2565-2567 และงวด 6 เดือนปี 2568 บริษัทมีรายได้รวมปี 2565 อยู่ที่ 9,885.80 ล้านบาท ปี 2566 อยู่ที่ 12,761.80 ล้านบาท ปี 2567 อยู่ที่ 16,063.40 ล้านบาท และงวด 6 เดือนปี 2568 อยู่ที่ 9,470.71 ล้านบาท  ส่วนกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 1,051.22 ล้านบาท ปี 2566 อยู่ที่ 1,381.07 ล้านบาท ปี 2567 อยู่ที่ 1,780.25 ล้านบาท และงวด 6 เดือนปี 2568 อยู่ที่ 1,176.44 ล้านบาท

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายฯ  เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นของ MRDIYT จำนวน 655 ล้านหุ้น ราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้นละ 8.60 บาท ได้รับความสนใจล้นหลามจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สะท้อนถึงพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและศักยภาพเติบโตในฐานะผู้นำค้าปลีกสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ที่สุดของไทย

ทั้งนี้ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 23.09 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2567 ถึงไตรมาส 2 ของปี 2568) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.36 บาท

โดยกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทได้สมัครใจล็อกอัพหุ้นทั้งหมดของตนเองเพิ่มเติมจากข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยรวมแล้ว จะมีหุ้นจำนวน 5,070 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 84.26% ของหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ที่ถูกกำหนดให้ อยู่ภายใต้ข้อจำกัดในการจำหน่าย (Lock-up Restrictions)

สำหรับการซื้อขายหุ้นของ MRDIYT ระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมบนกระดานจำนวนไม่เกิน 245 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 4.07% ของทุนชำระแล้วทั้งหมด ณ วัน IPO ที่จะเกิดขึ้นในวันแรกของการเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และได้เน้นย้ำว่าการทำธุรกรรมดังกล่าวเป็นการปรับโครงสร้างการถือหุ้นภายในกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม และผู้เข้าซื้อหุ้นในรายการนี้ได้สมัครใจล็อกอัพหุ้นทั้งหมดที่ได้มาด้วยเช่นกัน

ส่วนนายจอมพงษ์ โตมงคล ผู้ถือหุ้นที่ทำรายการขายหุ้นบิ๊กล็อตจำนวน 245 ล้านหุ้นดังกล่าว ซึ่งได้มีการนำหุ้นจำนวน 554 ล้านหุ้น ไปเป็นหลักประกันสินเชื่อส่วนบุคคล และจะชำระหนี้คืนทั้งหมดหลังจากขายหุ้นบิ๊กล็อตเสร็จสิ้น โดยภายหลังการชำระหนี้ นายจอมพงษ์ สมัครใจล็อกอัพหุ้นที่เหลือจากการปลดหลักประกันทั้งหมดจำนวน 309 ล้านหุ้น เป็นระยะเวลา 12 เดือน

ด้านนายกนต์ธีร์ ประเสริฐวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวว่า MRDIYT เป็นผู้นำตลาดค้าปลีกที่ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “Always Low Prices” มุ่งเน้นสินค้าคุณภาพในราคาคุ้มค่า และเข้าถึงผู้บริโภคได้ทั่วประเทศ โดยมีนักลงทุนสถาบันระดับโลกเข้าร่วมเป็นผู้ถือหุ้นรายสำคัญ เช่น BBL Asset Management, InnovestX, FIL Investment Management, Fiera Capital (UK) และ Lion Global Investors

Back to top button