กองทุนชอบทุบหุ้น?

ประเด็นที่ “โมนิก้า” ทิ้งท้ายไปเมื่อวันก่อนยังให้ความสำคัญกับการเด้งกลับของหุ้นรายตัวเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ เพราะมองว่า หุ้นยังเทรดบนพีอีต่ำเกินไป


ประเด็นที่ “โมนิก้า” ทิ้งท้ายไปเมื่อวันก่อนยังให้ความสำคัญกับการเด้งกลับของหุ้นรายตัวเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ เพราะมองว่า หุ้นยังเทรดบนพีอีต่ำเกินไป และยังได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ฟื้นตัวแรง จึงเป็นโอกาสของการทยอยสะสมหุ้นมากกว่าถอยฉากไปเรื่อย ๆ รวมทั้งอีฉันยังมีความเชื่อส่วนตัวลึก ๆ ว่า ข่าวร้ายที่กระทบกับความมั่นใจในการลงทุนน่าจะหมดแล้ว..หุ้นไทยก็น่าจะขึ้นได้นะจ๊ะ

น่าเสียดายตรงที่อีฉันเคยคิดว่า กองทุนน่าจะเป็นตัวช่วยตลาดหุ้นไทยให้ไปถึงฝั่งฝัน กลับเป็นคนถล่มหุ้นเป็นระลอกในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา “โมนิก้า” เลยรู้สึกงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแรง เพราะข้อมูลที่เห็นพูดกันปาว ๆ บอกไปในทางเดียวกันว่า เดี๋ยวจะมีเงินไหลเข้ากองทุน RMF-TESG ประมาณ 1.50 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้กองทุนมีเงินมาช้อปหุ้นเพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอตัวเอง

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้อีฉันเริ่มเอะใจขึ้นมาทันที! พร้อมกับอุทานเสียงหลงว่า พวกเราคงตีความเรื่องเงินก้อนใหม่ที่จะไหลเข้ากองทุนหุ้นเป็นการเข้าข้างตัวเองมากเกินไป เพราะเรื่องจริงน่าจะเป็นการไหลเข้ากองทุนที่เป็นตราสารหนี้ “โมนิก้า” ถึงต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า มูลค่าการซื้อขายที่เบาบางลงเรื่อย ๆ น่าจะเป็นผลมาจากเงินก้อนใหม่ไหลเข้าตลาดหุ้นน้อยมากไงล่ะคะ

ฉะนั้นการที่กองทุนขายหุ้นออกมามากเป็นพิเศษในช่วงนี้ น่าจะเป็นการขายเพื่อลงไปรอซื้อข้างล่าง หลังแก๊ปของหุ้นที่จะไปต่อเหลือไม่มาก หรืออาจเป็นการขายเพื่อเตรียมเงินไถ่ถอนหน่วยลงทุนก็อาจเป็นไปได้ “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักลงทุนเปิดใจรับฟังข้อมูลในหลายด้าน เพื่อจะได้เข้าใจการขายหุ้นของกองทุน เพราะทุกครั้งที่หุ้นตกนานทีไร กองทุนกลายเป็นแพะรับบาปทุกทีนะออเจ้า

สิ่งที่ต้องคิดถัดมาก็คือ หากดัชนีลงมายืนต่ำกว่าบริเวณ 1,300 จุด กองทุนจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไหม? และถ้าเทียบกับยอดขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันในระดับ 2.14 หมื่นล้านบาท ต่อจากนั้นนำมาเทียบกับข้อมูลยอดไถ่ถอนหน่วยลงทุนหุ้นในแต่ละปีอยู่ที่ระดับ 1.50-3.10 หมื่นล้านบาท ย่อมเป็นแรงกดดันที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับตลาดหุ้นไทยไม่มากก็น้อยนะนายจ๋า!

ในเมื่อปัจจัยพื้นฐานไม่มีอะไรที่แย่ลง “โมนิก้า” จึงเข้าใจเหตุผลที่ดัชนีทิ้งตัวลงมาปิด 1,298.60 จุด ลบไป 10.26 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.07 หมื่นล้านบาท น่าจะเกิดจากแทคติกในการบริหารพอร์ตของนักลงทุนสถาบัน แถมนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นยังงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เลยไม่กล้าช้อนหุ้นในจังหวะที่อ่อนตัวลงมา จนลืมไปว่า ในช่วงเดือนครึ่งดัชนีสามารถทำจุดสูงสุดได้ทั้งหมด 3 ครั้ง ไล่เรียงตั้งแต่ระดับ 1,312 จุด ต่อจากนั้นขยับเป็น 1,317 จุด และ 1,345 จุดนะจ๊ะ

ในทางกลับกันเมื่อดูจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นทั้งหมด 2 ครั้ง ก็อยู่ที่บริเวณ 1,267 จุด “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นลองประเมินข้อเท็จจริงที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ประกอบการซื้อหุ้น เพราะสถานการณ์วันนี้อาจเป็นจังหวะทยอยเก็บหุ้นเข้าพอร์ตเพื่อเล่นรอบก็ได้ รวมทั้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ก็ดูดีเหลือเกิน จึงไม่มีเหตุผลที่ดัชนีจะไหลลงแบบไม่มีวันเด้งกลับพะยะค่ะ

ท้ายสุดนี้ “โมนิก้า” ขอเป็นเสียงสะท้อนไปถึง “เสี่ยหนู” ว่า โครงการคนละครึ่งพลัสทำให้พ่อค้าแม่ค้าหน้าบานกันยกใหญ่ เพราะขายของดีกันเหลือเกิน และการเตรียมจะเปิดเฟส 2 เพื่อทำให้เงินสะพัดอีกรอบ ก็ทำให้อีฉันเชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยก็ควรได้ไปต่อ แถมยังมีเรื่องแก้หนี้ที่เจ้าภาพหลักอย่าง ก.คลัง ประกาศลั่นว่า มีคนได้ประโยชน์จากโครงการนี้ 3.40 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นมูลหนี้ 1.22 แสนล้านบาท และจะไม่ติดเครดิตบูโรแบบนี้..เงินกำลังจะหมุนไปของแทร่!

โมนิก้าและทีมงาน

Back to top button