
“ดาวโจนส์” ปิดลบ 251 จุด หลัง “แบงก์ใหญ่สหรัฐ” เตือนตลาดหุ้นเสี่ยงปรับฐาน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงแรง หลังซีอีโอ Goldman Sachs และ Morgan Stanley ออกมาเตือนว่า ตลาดหุ้นอาจเผชิญแรงปรับฐาน 10–20% ในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า ท่ามกลางมูลค่าหุ้นที่พุ่งสูงเกินพื้นฐาน ขณะเดียวกันสถานการณ์ชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของทิศทางดอกเบี้ยเฟด ยังเป็นแรงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงแรงในวันอังคาร (4 พ.ย.68) หลังผู้บริหารระดับสูงของธนาคารชั้นนำสหรัฐฯ ออกมาเตือนว่า ตลาดหุ้นอาจเผชิญแรงปรับฐานในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า ท่ามกลางความกังวลเรื่องมูลค่าหุ้นที่พุ่งสูงเกินพื้นฐานและความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงิน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) ปิดที่ 47,085.24 จุด ลดลง 251.44 จุด หรือ -0.53% ขณะที่ ดัชนี S&P 500 (.SPX) ปิดที่ 6,771.55 จุด ลดลง 80.42 จุด หรือ -1.17% และ ดัชนี Nasdaq Composite (.IXIC) ปิดที่ 23,348.64 จุด ลดลง 486.09 จุด หรือ -2.04%
นายเดวิด โซโลมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Goldman Sachs เปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ตลาดหุ้นจะปรับฐานลงราว 10–20% ภายใน 12–24 เดือนข้างหน้า พร้อมระบุว่า การปรับตัวดังกล่าวอาจเป็นส่วนหนึ่งของวงจรปกติ หลังจากราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา
ขณะที่นายเท็ด พิค ซีอีโอของ Morgan Stanley ให้สัมภาษณ์ในทิศทางเดียวกัน โดยคาดว่า ตลาดอาจเผชิญการย่อตัว 10–15% โดยไม่จำเป็นต้องเกิดจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เช่น วิกฤตการเงินหรือภาวะถดถอย
ทั้งนี้ ความเห็นจากสองผู้บริหารสอดคล้องกับคำเตือนก่อนหน้านี้ของนายเจมี ไดมอน ซีอีโอของ JPMorgan Chase ที่ระบุเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงอย่างมีนัยสำคัญ ภายใน 6 เดือนถึง 2 ปี จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง
คำเตือนของซีอีโอธนาคารรายใหญ่สร้างแรงกดดันให้ตลาดเกิดความวิตก ว่าฟองสบู่ในหุ้นเทคโนโลยีอาจเริ่มขยายตัวมากเกินไป หลังจากดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้งในปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากกระแสการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ขณะเดียวกัน ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ชัตดาวน์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ยังคงยืดเยื้อ หลังสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว ส่งผลให้นักลงทุนขาดข้อมูลเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ และต้องรอการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP ในวันนี้ (5 พ.ย.68)
ด้านความคาดหวังต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงไม่ชัดเจน หลังเจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณที่แตกต่างกันเกี่ยวกับแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินในการประชุมเดือนธันวาคม 2568 โดยบางส่วนมองว่าเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม หากความเสี่ยงด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อเริ่มชะลอ ขณะที่อีกฝ่ายยังคงระมัดระวัง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังสูงกว่าเป้าหมาย 2%
ในฝั่งของตลาดหุ้น กลุ่มเทคโนโลยีร่วงหนักสุดในบรรดา 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 โดยเฉลี่ยลดลงกว่า 2.3% นำโดยหุ้น Palantir Technologies ที่ดิ่งกว่า 8% แม้บริษัทเปิดเผยคาดการณ์รายได้ไตรมาส 4 สูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แต่ราคาหุ้นสะสมตั้งแต่ต้นปีปรับขึ้นกว่า 150% แล้ว ส่งผลให้เกิดแรงขายทำกำไร
หุ้นในกลุ่ม “Magnificent Seven” ที่เกี่ยวข้องกับ AI ปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้น Nvidia ร่วง 4% หุ้น Meta ลดลง 1.6% และดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia Semiconductor Index) ร่วง 4%
ขณะที่หุ้น Uber ร่วง 5.1% หลังประกาศผลกำไรไตรมาสล่าสุด แม้สูงกว่าคาด แต่ยังไม่สร้างความเชื่อมั่นในแนวโน้มกำไรระยะถัดไป ส่วนหุ้น Spotify ปรับตัวลง 2.3% หลังรายงานผลประกอบการต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด
