
LST กำไร 9 เดือนโต 5% ทะลุ 400 ล้านบาท รับยอดขายเพิ่ม
LST รายงานกำไร 9 เดือนแรกของปี 68 อยู่ที่ 408 ล้านบาท หลังรายได้พุ่งจากยอดขายและราคาขายเฉลี่ยสูงขึ้น จากความต้องการสินค้าที่ขยายตัว
บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ LST รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ ดังนี้
โดยในงวดไตรมาส 3 ปี 2568 มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 333.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 และปริมาณการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 34.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.7 โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.7 จากความต้องการสินค้าที่ขยายตัว ประกอบกับการปรับราคาขายให้สอดคล้องกับต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น
ด้านบริษัทย่อย ยูนิวานิชปาล์มน้ำมัน จำกัด (มหาชน) (UPOIC) มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 97.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 27.9 จากปริมาณการขายน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.9 แม้ยอดขายน้ำมันเมล็ดในปาล์มลดลงร้อยละ 25.0 ขณะที่บริษัทย่อย ยูเอฟซี จำกัด (มหาชน) (UFC) มีรายได้จากการขายลดลง 70.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.6 เนื่องจากยอดขายกลุ่มเครื่องดื่มลดลง 46.6 ล้านบาท และผักผลไม้กระป๋องลดลง 24.1 ล้านบาท
ขณะที่ในส่วนของรายได้รวม บริษัทและบริษัทย่อยมียอดขายเพิ่มขึ้นรวม 361.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.5 ขณะที่รายได้อื่นเพิ่มขึ้นเป็น 42 ล้านบาท จาก 13.2 ล้านบาทในปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นกำไรจากการขายเศษซาก เช่น กะลาปาล์ม และทะลายเปล่า
ส่วนต้นทุนขาย คิดเป็นร้อยละ 87.0 ของรายได้จากการขาย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 84.1 ในปีก่อน โดยต้นทุนขายของบริษัทอยู่ที่ร้อยละ 89.9 เท่ากับปีก่อน ส่วน UPOIC มีอัตราต้นทุนขายร้อยละ 82.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 80.4 เนื่องจากอัตราการสกัดน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันเมล็ดในปาล์มเพิ่มขึ้น ขณะที่ UFC มีต้นทุนขายร้อยละ 82.5 เพิ่มจากร้อยละ 74.8
ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายอยู่ที่ 159.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 155.7 ล้านบาท เนื่องจากค่าเช่าคลังสินค้าและค่าขนส่งสูงขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารอยู่ที่ 77.5 ล้านบาท ลดลงจาก 90.4 ล้านบาท โดยบริษัทมีค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น แต่บริษัทย่อยมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง
อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทและบริษัทย่อยลดลงเหลือร้อยละ 13.0 จากร้อยละ 15.9 ในปีก่อน ทำให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทอยู่ที่ 181.4 ล้านบาท ลดลง 2.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567


