CPF กวาดกำไร 9 เดือนแรกแตะ 2.41 หมื่นล้านบาท โต 57% รับยอดขายต่างประเทศหนุน

CPF รายงานผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกแตะ 2.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% รับกิจการในต่างประเทศซึ่งมียอดขาย 2 ใน 3 ของยอดขายรวม


บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF รายงานกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2568 อยู่ที่ 24,112 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรส่วนใหญ่มาจากกิจการในต่างประเทศซึ่งมียอดขาย 2 ใน 3 ของยอดขายรวม

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ปัจจุบันยอดขายของบริษัทมาจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนยอดขายจากกิจการในต่างประเทศประมาณ 62% และมีการส่งออกไปต่างประเทศอีกจำนวน 5% นับรวมประมาณ 2 ใน 3 ของยอดขายที่มาจากต่างประเทศที่บริษัทมีการลงทุนและร่วมลงทุนรวม   16 ประเทศ   มีการค้าระหว่างประเทศที่จำหน่ายในร้านค้าปลีกค้าส่งชั้นนำในอีกมากกว่า 50 ประเทศ

โดยยอดขายสำหรับ 9 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่  430,335 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมผลจากการแปลงค่าของงบการเงินของกิจการต่างประเทศจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น บริษัทฯ จะมียอดขายเติบโตประมาณ 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  โดยมีกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปีนี้ที่ 24,112 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 57% จากการบริหารด้านประสิทธิภาพการดำเนินการตลอดห่วงโซ่อุปทาน และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิผล รวมถึง ต้นทุนที่ลดลงจากราคากากถั่วเหลืองในหลายประเทศทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา

นายประสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่มีปัจจัยหลากหลายประการกระทบการดำเนินงาน ทั้งเรื่องโรคระบาดในการเลี้ยงสัตว์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ  มาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา กำลังซื้อที่ยังไม่ดีขึ้นในหลายประเทศ บริษัทฯจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ระมัดระวังในการลงทุน พยายามปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 138,565 ล้านบาท หากไม่นับรวมผลกระทบจากการแปลงค่าเงิน รายได้จากการขายจะเพิ่มขึ้น 2 %  จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้น 16.5% ดีขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 15.4% จากการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และราคากากถั่วเหลืองโลกที่ลดลง อย่างไรก็ตามด้วยมาตรฐานการบันทึกบัญชีเรื่องการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ของสุกรมีผลขาดทุนที่ 1,115 ล้านบาท และส่วนได้ในกำไรของบริษัทร่วมและการร่วมค้าจำนวน 2,463 ล้านบาท ที่ลดลง 33% ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาส 3 อยู่ที่ 5,186 ล้านบาท ลดลง 29% จากปีก่อน

นายประสิทธิ์ ยังได้กล่าวถึง แนวโน้มของธุรกิจว่า  ด้วยสถานการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต รวมถึงสถานการณ์โลกร้อนที่เห็นผลกระทบชัดเจน ณ ปัจจุบัน บริษัทจึงให้ความสำคัญเรื่องการบริหารความเสี่ยง การสร้างความสามารถในการแข่งขันในทุกประเทศ พร้อมต่อยอดการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น ฟิลิปปินส์และเวียดนาม

Back to top button