เปิด 26 หุ้น mai ฟาดกำไร Q3 เกินเท่าตัว! SICT เจ๋งสุดโต 1,800%

สแกน 26 หุ้นตลาด mai กำไร Q3 โต 10 เท่าตัว สะท้อนแรงฟื้นตัวของกลุ่มบริษัทขนาดกลาง–เล็ก นำโดย SICT โตแรงสุด 1,800% ตามมาด้วย IROYAL, DV8, PSG, FPI และ MITSIB ตอกย้ำศักยภาพขยายตัวทั้งจากดีมานด์เทคโนโลยีและอุตสาหกรรม


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ที่ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/68 สิ้นสุดวันที่ 31 กันยายน 2568 ออกมามีกำไรสุทธิเปลี่ยนแปลงเกินกว่า 1,000% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จำนวน 26 หลักทรัพย์ ได้แก่ SICT, IROYAL, DV8, PSG, FPI, MITSIB, TITLE, RWI, SPVI, MGI, KTMS, PPM, MOONG, K, FLOYD, ZIGA, PIS, AKP, BPS, NPK, CRD, TATG, AMARC, SECURE, TMI และ JAK ดังนี้

ทั้งนี้ จากตารางด้านบนพบว่ามีอย่างน้อย 6 หลักทรัพย์ที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นำโดยบริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SICT ซึ่งมีกำไรสุทธิ 12.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 0.66 ล้านบาทในไตรมาส 3/2567 หรือคิดเป็นการเติบโต 1,811.43%

ขณะที่บริษัท อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ IROYAL มีกำไรสุทธิ 44.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2.45 ล้านบาท เติบโต 1,709.80%, บริษัท ดีวี8 จำกัด (มหาชน) หรือ DV8 มีกำไรสุทธิ 167.31 ล้านบาท จากเดิม 11.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,421.12%

ด้านบริษัท พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PSG รายงานกำไรสุทธิ 187.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 12.79 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 1,366.81% บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI มีกำไรสุทธิ 99.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 7.33 ล้านบาท เติบโต 1,255.04% และบริษัท มิตรสิบ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MITSIB มีกำไรสุทธิ 25.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1.93 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 1,207.83%

ทั้งนี้ การเติบโตของกำไรสุทธิในอัตราสูงกว่าพันเปอร์เซ็นต์ดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพการฟื้นตัวของกลุ่มบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ

สำหรับ SICT รายงานรายได้ไตรมาส 3/2568 จำนวน 159.8 ล้านบาท เติบโต 24% จากปีก่อน หนุนจากกลุ่มไมโครชิป IoT ในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น 87% ตามเทรนด์ Industry 4.0 และกลุ่มไมโครชิประบบลงทะเบียนสัตว์ที่ยังเติบโตต่อเนื่องตามการบังคับใช้ระบบระบุตัวตนอิเล็กทรอนิกส์ในปศุสัตว์ ขณะที่รายได้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้น 32% อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นแตะ 47% ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 12.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 8%

รายได้กลุ่ม Animal ID อยู่ที่ 92.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากการขยายฐานลูกค้าในยุโรป ส่วนรายได้กลุ่ม Industrial IoT อยู่ที่ 57.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% จากการส่งมอบสินค้าในเอเชียตามแผน ขณะที่รายได้กลุ่ม Immobilizer อยู่ที่ 9.8 ล้านบาท ลดลง 45% ตามภาวะยานยนต์โลกชะลอตัว แม้ผลิตภัณฑ์หลัก ULTX เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในช่วงปลายไตรมาส โดยรายได้จาก NFC และอื่น ๆ อยู่ที่ 0.12 ล้านบาท

บริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ SIC7150 ในกลุ่ม Animal ID ตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 และได้รับการตอบรับดี พร้อมเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Industrial IoT และ NFC ช่วงปลายปีนี้ ควบคู่กับการลงทุนด้านวิจัยพัฒนาเพื่อเสริมความสามารถแข่งขัน เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตระยะยาว

ด้านมาตรการภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ บริษัทระบุว่าสินค้าหลักยังได้รับการยกเว้นภาษีเพิ่มเติม พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยประเมินผลกระทบโดยตรงยังอยู่ในระดับต่ำ

ด้าน IROYAL รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ทำรายได้รวม 149 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 44 ล้านบาท ทำสถิติเติบโตสูงสุดต่อเนื่องจากไตรมาส 2 จากการรับรู้รายได้ทั้งธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ ได้แก่ งานวางระบบสื่อสาร และงานวิศวกรรมตรวจสอบ–ซ่อมบำรุงเพื่อสนับสนุนการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม รวมถึงการทยอยรับรู้รายได้จากแบ็กล็อกมูลค่าสูงตามโรดแมปที่วางไว้

ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ทำรายได้รวม 325 ล้านบาท เติบโต 133% และกำไรสุทธิ 93.5 ล้านบาท เติบโต 99% บริษัทมั่นใจรายได้ปีนี้จะโต 50–60% หนุนจากความสำเร็จโครงการที่ชนะประมูลและแบ็กล็อกสะสมกว่า 625 ล้านบาท พร้อมเตรียมเข้าประมูลโครงการมูลค่าสูงทั้งในกลุ่มสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม และกลุ่มสื่อสาร–เทคโนโลยี ตั้งเป้าอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปี (CAGR) ราว 50%

ขณะที่ผู้บริหารย้ำว่าไตรมาส 3 ทำ New High ต่อเนื่อง สะท้อนแผนธุรกิจที่เดินหน้าได้จริง พร้อมรุกขยาย New S-curve ในธุรกิจพลังงาน วิศวกรรม เทคโนโลยี รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านสื่อสารและโทรคมนาคม เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและเติมเต็ม Ecosystem ของบริษัทในระยะยาว

สำหรับ PSGC รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 แข็งแกร่ง ด้วยรายได้รวม 773.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งไตรมาสก่อนและปีก่อน จากการเร่งรัดโครงการก่อสร้างและทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนที่เสถียรมากขึ้น ส่งผลให้งวด 9 เดือนมีรายได้รวม 2,081.6 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 305.5 ล้านบาท โดยยังมีงานในมือกว่า 3,900 ล้านบาท และคาดรับรู้รายได้ไตรมาส 4 อีกราว 1,000 ล้านบาท

ด้านคณะกรรมการอนุมัติลงทุนเชิงกลยุทธ์ 23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเข้าถือหุ้น 64% ใน Nam Tien ธุรกิจโลจิสติกส์และเหมืองถ่านหินรายใหญ่ในเวียดนาม พร้อมรวมงบเป็นบริษัทย่อยในไตรมาส 1 ปี 2569 Nam Tien มีสิทธิ์ซื้อ–จำหน่ายถ่านหินจากสัมปทาน XPPL ใน สปป.ลาว ปริมาณสำรองกว่า 600 ล้านตัน รองรับความต้องการถ่านหินที่ยังสูงในลาวและเวียดนาม โดยมีศักยภาพผลิต–จำหน่าย 6–10 ล้านตันต่อปี สร้างรายได้สูงสุด 38,000 ล้านบาทภายในปี 2573

การขยายธุรกิจครั้งนี้ช่วยให้ PSGC มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานพลังงานของภูมิภาค ตามทิศทางความต้องการไฟฟ้าฐานที่ยังจำเป็นในอุตสาหกรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมผลักดันให้บริษัทเปลี่ยนผ่านจากรายได้โครงการสู่รายได้ประจำที่มั่นคงมากขึ้น ผู้บริหารย้ำว่า Nam Tien จะเพิ่มขนาดธุรกิจทันที รองรับการเติบโตระยะยาว โดยบริษัทมีแผนนำเทคโนโลยีปรับปรุงคุณภาพถ่านหินและเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อลดมลพิษ ต่อยอดสู่การขยายธุรกิจด้านทรัพยากร และสร้างความมั่นคงของรายได้–กำไรตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป

Back to top button