
กระฉ่อน! “ฟิลลิป” เทก “พาย” ฟากเมย์แบงก์ รื้อองค์กรใหญ่
หึ่ง! “บล.ฟิลลิป” ซื้อกิจการ “บล.พาย” จาก “คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้ง” จำนวน 90.98% ใช้เงินกว่า 2 พันล้านบาท ส่วน บล.เมย์แบงก์ฯ ยอมรับปรับองค์กรครั้งใหญ่ หลังมีข่าวลดบุคลากร ด้าน “พิเชษฐ” นายกสมาคม บล.เผยวอลุ่มเทรดวูบ ส่งผลโบรกฯ ปรับโมเดลธุรกิจและองค์กร คาดสถานะทุกแห่งยังมี NCR ตามเกณฑ์ ก.ล.ต.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าการซื้อขายลดลงต่อเนื่อง ล่าสุด จากรายงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 39,473 ล้านบาท ลดลง 27.9% จากเดือนเดียวกันของปี 2567 ส่งผลให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปี มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมอยู่ที่ 42,659 ล้านบาท
ทั้งนี้ การปรับลดลงของมูลค่าการซื้อขาย ทำให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีธุรกิจหลักทรัพย์ (นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์) เป็นธุรกิจหลัก เผชิญกับรายได้และกำไรสุทธิลดลง (รวมถึงขาดทุนสุทธิ) โดยมี บล.บางแห่งต้องปรับลดขนาดองค์กร หรือหาแนวทางอื่น ๆ เพื่อหลีกหนีภาวะการขาดทุนที่เพิ่มขึ้น
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ทำดีลสะเทือนตลาดอีกครั้งด้วยการเข้าซื้อกิจการของบริษัหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) จากกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ CGH จำนวน 90.98% ส่วนมูลค่าของดีลอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาท
ปัจจุบัน บล.พาย มีผู้ถือหุ้นอยู่ 3 กลุ่ม ประกอบด้วย คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำนวน 90.98%, Chinatrust Real Estate Co., LTD จำนวน 8.40% และ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไทยฟูจิ จำกัด จำนวน 0.14%
“ฟิลลิป ได้เข้าซิ้อหุ้นจากคันทรี่ กรุ๊ปฯ ใน บล.พาย ส่วนกลุ่มผู้ถือหุ้นอีก 2 ราย ไม่ทราบว่ามีการขายหุ้นหรือไม่ ส่วนความสำเร็จของดีลคาดว่าจะมีการประกาศในเร็ว ๆ นี้” รายงานข่าวระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ปฯ (CGH) มีผลขาดทุนสุทธิ -161.39 ล้านบาท โดย CGH ชี้แจงถึงผลขาดทุนว่า มาจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (จาก บล.พาย) ลดลงจํานวน 98.60 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.60 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการลดลงของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งแปรผันตรงตามมูลค่าการซื้อขายรายวันเฉลี่ยที่ลดลงของตลาดในภาพรวม
ขณะที่อันดับของหลักทรัพย์และส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทปรับตัวลดลงเล็กน้อย ทั้งนี้ รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน
สำหรับ บล.ฟิลลิป เพิ่งบรรลุข้อตกลงการเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์กับ บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในช่วงปลายปี 2567 และถือเป็นการควบรวมกิจการครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมบริษัทหลักทรัพย์ไทย โดย บล.ฟิลลิป เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม Phillip Capital มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์ มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การดูแลกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
เมย์แบงก์ฯ ปรับองค์กร
รายงานข่าวระบุอีกว่า มีความเคลื่อนไหวของวงการหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่อีกแห่งคือ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยมีการเผยว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการปรับลดขนาดองค์กร ด้วยการปรับลดบุคลากรจำนวนมาก และล่าสุดจะมีการปรับลดบุคลากรอีกเกือบ 100 คน
และจากการสอบถามไปยัง บล.เมย์แบงก์ฯ ได้รับคำตอบเป็นแถลงการณ์ ระบุว่า “บริษัทฯ ได้ปรับโครงสร้างการทำงานและบุคลากร เพื่อเสริมสร้างความพร้อมขององค์กรในการเดินหน้าตามกลยุทธ์ใหม่ที่มุ่งยกระดับคุณภาพงาน มาตรฐานการให้บริการลูกค้า และศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดทีมงานให้สอดคล้องกับทิศทางการเติบโตที่บริษัทฯ วางไว้สำหรับอนาคต”
“บริษัทฯ ตระหนักดีว่าการดำเนินการในครั้งนี้กระทบต่อโครงสร้างงานบางส่วน โดย บริษัทฯ ได้จัดเตรียมมาตรการสนับสนุนด้านการเปลี่ยนผ่านที่ครอบคลุม เพื่อช่วยให้พนักงานที่เกี่ยวข้องทำงานได้อย่างราบรื่น”
“สิ่งที่บริษัทฯ ยึดมั่นมาตลอด คือ ความเป็นอยู่ที่ดีของบุคลากร และการรักษาคุณภาพการให้บริการลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เรามั่นใจว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจได้อย่างคล่องตัวขึ้น พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรม และสานต่อเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกันในระยะยาว”
นายกฯ บล.ชี้โบรกฯ ต้องปรับตัว
ด้านนายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย หรือ ASCO กล่าวว่า ภาพรวมของมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่องมาจากปีก่อนหน้า ขณะที่ บล. หรือโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังคงมีธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็นธุรกิจหลัก ดังนั้น ทำให้แต่ละโบรกฯ ต้องปรับโมเดลธุรกิจ เพื่อหารายได้เข้ามาทดแทน เช่น การออก Depositary Receipt หรือ DR, การทำธุรกิจ Wealth และธุรกิจอื่น ๆ
ส่วนสถานะการเงินของโบรกฯ แต่ละแห่งนั้น จะต้องมีการคงอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (NCR) ตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งล่าสุด ยังไม่เห็นข่าวว่า จะมีโบรกฯ แห่งไหนมีปัญหาเรื่อง NCR เพราหากมีปัญหา ทาง ก.ล.ต.อาจมีคำสั่งให้หยุดธุรกรรมบางอย่าง หรือจะมีช่วงเวลาให้ดำเนินการแก้ไข
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ตามเกณฑ์ของ สำนักงาน ก.ล.ต.บริษัทหลักทรัพย์จะต้องมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (NCR) ต้องมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 7 ของหนี้สินทั่วไปและทรัพย์สินที่ต้องวางเป็นประกัน และเมื่อ NCR ลดต่ำกว่าเกณฑ์ (Early Warning) ทาง บล.ต้องรีบดำเนินการเพื่อแก้ไข หรือในกรณีที่ต่ำกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ ทางสำนักงาน ก.ล.ต.อาจระงับการดำเนินธุรกิจบางประเภท และแจ้งให้ลูกค้าทราบ

