“ชัยยศ” ชู 2 หุ้นเด่น MINT-BDMS จับตากำไร Q4 สดใสรับไฮซีซั่น

“ชัยยศ จิวางกูร” ประเมินตลาดหุ้นไทยได้แรงขับเคลื่อนจากคาดการณ์ “เฟด” ลดดอกเบี้ย ส่วนปัจจัยในประเทศยังเปราะบางจากเศรษฐกิจชะลอ–น้ำท่วม พร้อมแนะสะสม MINT และ BDMS รับไฮซีซันท่องเที่ยวหนุนผลงาน Q4 โตเด่น


นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ว่า ตลาดหุ้นเอเชียเช้าวันนี้ปรับตัวขึ้นเกือบทุกตลาด ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา

โดยได้รับอานิสงส์จากความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมช่วงต้นเดือนธันวาคม ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเป็นบวก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 1% และหนุนความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจัยภายนอกเอื้อต่อการลงทุน แต่ปัจจัยภายในประเทศยังเป็นความท้าทายสำคัญ โดยตัวเลขส่งออกที่รายงานออกมาวานนี้ไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ประกอบกับสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้และบางพื้นที่ในภาคกลาง อาจกดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจและทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ภายในประเทศขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้

ด้านปัจจัยการเมือง ตลาดทุนให้ความสำคัญกับ “นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” มากกว่าประเด็นการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง โดยมองว่าการเติบโตที่ต่อเนื่องคล้ายประเทศเวียดนามจำเป็นต้องอาศัยเสถียรภาพของนโยบาย ซึ่งเป็นประเด็นที่ไทยยังขาดความต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีสถิติในอดีตที่ตลาดหุ้นมักปรับตัวขึ้นก่อนการเลือกตั้งประมาณ 9–10% แต่ปัจจุบันเงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยนไปมาก ทำให้ไม่สามารถใช้ตัวเลขเดิมเป็นเกณฑ์ตัดสินการลงทุนได้

นอกจากนี้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังถูกกดดันจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่ไม่ต่อเนื่อง โดยยังไม่เห็นสัญญาณการซื้อสุทธิติดต่อกันหลายวัน ประกอบกับโครงสร้างของตลาดหุ้นไทยยังขาดกลุ่มธุรกิจใหม่ที่สอดคล้องกับเทรนด์โลกอย่างกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ ทำให้การตอบรับภาวะตลาดเชิงบวกลดทอนลงเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้วและตลาดหุ้นเอเชียเหนือ

สำหรับกลุ่มหุ้นที่ช่วยประคองดัชนีในช่วงที่ผ่านมา ประกอบด้วย อิเล็กทรอนิกส์ (นำโดยเดลต้า) กลุ่มโทรคมนาคม และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่ยังอิงอยู่กับเศรษฐกิจดั้งเดิม ไม่ได้เชื่อมโยงกับเทรนด์เมกะเทรนด์ใหม่มากนัก ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวจำกัดเมื่อเทียบกับภูมิภาค

ขณะเดียวกัน ประเมินว่าหุ้นที่มีสัญญาณ “ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด (Bottom)” น่าจะเป็นจังหวะสะสม ได้แก่ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ซึ่งได้อานิสงส์จากไฮซีซันการท่องเที่ยวในไตรมาส 4 และแนวโน้มการเดินทางที่เพิ่มขึ้นหลังจีนยกเลิกเที่ยวบินไปญี่ปุ่น ทำให้นักท่องเที่ยวบางส่วนหันเดินทางเข้าสู่ไทย ส่งผลบวกต่ออัตราการเข้าพักของธุรกิจโรงแรม พร้อมประเมินราคาเหมาะสมที่ระดับ 30 บาทต่อหุ้น

อีกหนึ่งหุ้นที่น่าสะสม คือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 3 ทำได้ดีประมาณ 4,000 ล้านบาท ประกอบกับทิศทางรายได้ในไตรมาส 4 มีโอกาสเติบโตต่อ ทั้งจากผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะตะวันออกกลาง และผู้ป่วยในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบบทางเดินหายใจในช่วงฤดูฝนที่ยาวนานกว่าปกติ โดยให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ระดับ 29 บาทต่อหุ้น

Back to top button