
“พงศ์ภัทร” มอง “เฟด-กนง.” จ่อลดดอกเบี้ย แนะนำลงทุนหุ้นปันผล KBANK-BAM-TLI-THANI
“พงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์” ชี้สัญญาณ “เฟด-กนง.” จ่อนโยบายลดดอกเบี้ย หนุนบรรยากาศลงทุนระยะสั้น พร้อมชี้โอกาสสะสมหุ้นที่ได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลง ทั้งกลุ่มหุ้นปันผลครึ่งปีหลังยีลด์เกิน 5% แนะนำลงทุนหุ้นปันผล KBANK-BAM-TLI-THANI รวมถึงหุ้นกลุ่มที่ได้อานิสงส์โดยตรงจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์เอกซ์ จำกัด ในเครือกลุ่มเอสซีบีเอ็กซ์ (SCBX) เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันที่ 1 ธันวาคม 2568 ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังอยู่ในภาวะเปราะบาง แม้สถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในภาคใต้เริ่มคลี่คลายแล้ว สะท้อนว่านักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นและรอความชัดเจนจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ
โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) พยายามทดสอบแนวต้านบริเวณ 1,265 จุดติดต่อกันในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาแต่ไม่ผ่าน ทำให้ภาพระยะสั้นยังมีลักษณะของการแกว่งตัวด้านข้างหรือพักฐาน โดยมีระดับ 1,265 จุดเป็นแนวต้านสำคัญ หากไม่สามารถยืนเหนือได้ มีโอกาสกลับมาอ่อนตัวและต้องจับตาแนวรับเดิมบริเวณ 1,248 จุด เนื่องจากหากหลุดลงไปจะกลายเป็นสัญญาณยืนยันการปรับฐานรอบใหม่ และอาจเห็นดัชนีอ่อนตัวลงอีกระลอก
สำหรับปัจจัยต่างประเทศ ตลาดประเมินโอกาสสูงราว 80% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 10 ธันวาคม หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงที่ผ่านมาออกมาต่ำกว่าคาดหลายรายการ ทั้งนี้ ก่อนการประชุมเฟดจะมีตัวเลขดัชนีราคา PCE ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญประกาศออกมาอีกครั้ง หากไม่ผิดคาดมากนักยังสนับสนุนภาพรวมแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง
อีกทั้งยังมีปัจจัยในประเทศว่า ทิศทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มเข้าสู่รอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแบบ “ทยอยลด ค่อยเป็นค่อยไป” จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่ควรและดัชนีเงินเฟ้อทั่วไปยังติดลบต่อเนื่อง โดยตัวเลขเงินเฟ้อครั้งก่อนอยู่ที่ประมาณ -0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าตัวเลขที่จะรายงานในสัปดาห์นี้ยังมีโอกาสอยู่ในแดนลบเช่นกัน
แม้กนง.ต้องการรักษาระยะห่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อคงพื้นที่เชิงนโยบาย (Policy Space) ไว้ในระดับหนึ่ง จึงชะลอการลดดอกเบี้ยมาในช่วงที่ผ่านมา แต่หากมองจากข้อมูลเศรษฐกิจปัจจุบัน หากเป็นประเทศอื่นหรือเป็นกรณีของเฟดมีความเป็นไปได้ว่าจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยไปแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง ทำให้ภาพรวมในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้ามีโอกาสเห็นกนง.ทยอยลดดอกเบี้ยออกมาในที่สุด
อย่างไรก็ตาม แม้สัญญาณดอกเบี้ยขาลงมักเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยยัง underperform ตลาดหุ้นโลกอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นหลักทั่วโลกปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 15–20% ขณะที่ดัชนี SET ยังติดลบราว 6–7% สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่ยังขาดการวางรากฐานการเติบโตระยะกลาง และยะระยาวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่ไม่ได้โดดเด่นเมื่อเทียบกับต่างประเทศ
นอกจากนี้ ตลาดยังเผชิญแรงกดดันจากกระแสเงินทุนไหลออก ทั้งจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นและขายทำกำไรออกไป รวมถึงเม็ดเงินของนักลงทุนไทยที่หันไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ทั้งผ่านกองทุนต่างประเทศ การลงทุนโดยตรง และตราสารอนุพันธ์ประเภท Depositary Receipt (DR) ส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยหลักหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
นายพงศ์ภัทรแนะกลยุทธ์การลงทุนผ่านหุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนครึ่งปีหลังในระดับมากกว่า 5% โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์และสินเชื่อรายย่อย เช่น บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI และบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI รวมถึงหุ้นปันผลเด่นบางตัวที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนได้
ขณะเดียวกัน นักลงทุนที่ต้องการรับโอกาสจากดอกเบี้ยขาลง สามารถพิจารณาหุ้นในกลุ่มที่ได้อานิสงส์โดยตรงจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง โดยมีหุ้นที่น่าสนใจ อาทิ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP และบริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC ซึ่งมีแนวโน้มได้รับประโยชน์ทั้งจากดอกเบี้ยขาลงและการฟื้นตัวของการบริโภค
นายพงศ์ภัทรกล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ตลาดหุ้นไทยจะเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจ การเมือง และโครงสร้างเม็ดเงินลงทุน แต่ข้อได้เปรียบสำคัญคือระดับมูลค่าที่ปรับตัวลงมามากจนอยู่ในโซนราคาถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาค ขณะเดียวกันอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของตลาดไทยยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นจุดแข็งเฉพาะของตลาดไทย และหากมีการออกมาตรการสนับสนุนการออมระยะยาวและการลงทุนในหุ้นปันผลอย่างจริงจัง ควบคู่กับความชัดเจนด้านการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจ จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินกลับเข้าตลาดและลดความผันผวนได้ทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง