ครม.ปรับเพดานค่าจ้างประกันสังคมทุก 3 ปี เพิ่มรายได้กองทุน-สิทธิผู้ประกันตน

ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงปรับเพดานค่าจ้างคำนวณเงินสมทบประกันสังคม ม.33 แบบขั้นบันได เริ่ม 17,500 บ./เดือน ปี 69–71, 20,000 บ. ปี 72–74, 23,000 บ. ปี 75 ขึ้นไป อัตราสมทบคง 5% เพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนและรองรับภาระกองทุนระยะยาว


นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ตามข้อเสนอของกระทรวงแรงงาน เพื่อให้การคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน หลังจากกฎกระทรวงเดิมที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2538 ไม่ทันต่อการปรับตัวของค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เดิมเพดานค่าจ้างสำหรับคำนวณเงินสมทบกำหนดไว้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ส่งผลให้ผู้ประกันตนที่มีรายได้สูงกว่านี้ต้องส่งเงินสมทบในอัตราเดียวกัน และได้รับสิทธิประโยชน์ไม่สอดคล้องกับค่าจ้างที่แท้จริง ขณะที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันปัจจุบันสูงสุดอยู่ที่ 400 บาทต่อวัน แต่ยังคงใช้ฐานคำนวณจากข้อมูลเมื่อปี 2538 ซึ่งไม่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจ และไม่สอดคล้องกับมาตรฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)

ร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่ จึงกำหนดการปรับเพดานค่าจ้างแบบขั้นบันไดทุก 3 ปี เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ดังนี้

  1. ปี 2569–2571 เพดานค่าจ้าง 17,500 บาท/เดือน
  2. ปี 2572–2574 เพดานค่าจ้าง 20,000 บาท/เดือน
  3. ตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป เพดานค่าจ้าง 23,000 บาท/เดือน

ทั้งนี้ อัตราเงินสมทบยังคงอยู่ที่ 5% เช่นเดิม ตัวอย่างเช่น ในปี 2569–2571 ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างตั้งแต่ 17,500 บาทขึ้นไป จะจ่ายเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน จากเดิม 750 บาท ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น อาทิ เงินลาป่วย เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต และเงินชราภาพ

การปรับเพดานดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กองทุนประกันสังคม รองรับภาระด้านสิทธิประโยชน์ในระยะยาว ขณะเดียวกันผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่สะท้อนค่าจ้างจริงมากขึ้น เช่น เงินชดเชยกรณีเจ็บป่วย และเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต ส่วนภาครัฐจะมีภาระเงินสมทบเพิ่มขึ้นตามเพดานใหม่ ซึ่งถือเป็นการลงทุนเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบประกันสังคมในอนาคต

Back to top button