โบรกมองปี 68 “ผู้รับเหมาใหญ่” กำไรทะลัก งานรัฐ-เอกชนพุ่ง ชู STECON เด่น

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) มองปี 68 “กลุ่มรับเหมา” ลุ้นกำไรเติบโตแกร่ง จากแรงหนุนงานเอกชนและภาครัฐ ชู STECON–CK เด่น โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น STECON ให้ราคาเป้าหมาย 7 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่ามกลางจังหวะการฟื้นตัวของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในรอบหลายปี ภาพรวมผลประกอบการของผู้รับเหมารายใหญ่ในตลาดทุนไทย ได้แก่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON กำลังสะท้อนสัญญาณเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ โดยปี 2568 ถูกประเมินว่าเป็นปีที่ทั้งสองบริษัทมีโอกาสสร้างผลกำไรสูงสุดครั้งใหม่ จากการเติบโตของธุรกิจหลักควบคู่กับการขยายการลงทุนในโครงการใหม่

ทั้งนี้ ทิศทางธุรกิจในปี 2569 เริ่มเห็นความแตกต่างของแรงขับเคลื่อนระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐอย่างเด่นชัด ซึ่งอาจส่งผลต่อการจัดสรรโครงการใหม่และจังหวะการเติบโตของแต่ละบริษัทในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างต่อไป

ทั้งนี้สอดคล้องกับฝ่ายนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ระบุว่างานรับเหมาภาคเอกชนจะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการเติบโตของ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON ในครึ่งแรกของปี 2569 ก่อนที่งานภาครัฐจะเริ่มทยอยเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปี 2569 ซึ่งหากโครงการทางด่วนยกระดับ (Double-Deck) มูลค่า 3.50 หมื่นล้านบาท ไม่สามารถสรุปได้ภายในสิ้นปี 2568 มีความเป็นไปได้ที่งานในมือของ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ณ สิ้นปี 2568 อาจปรับลดลงเหลือประมาณ 1.70 แสนล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ระดับ 2.00–2.10 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2567

สำหรับโครงการภาครัฐที่คาดว่าจะเริ่มในช่วงครึ่งหลังของปี 2569 ประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงจำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2.20 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการทางด่วน M5 มูลค่า 2.50–3.00 หมื่นล้านบาท, โครงการทางด่วน M9 มูลค่า 5.00–5.60 หมื่นล้านบาท, โครงการทางด่วนกระทู้–ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต มูลค่า 1.20–1.50 หมื่นล้านบาท, โครงการรถไฟรางคู่จำนวน 2 เส้นทาง มูลค่า 1.00–1.20 แสนล้านบาท และโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน ระยะที่ 2 มูลค่า 2.50–3.50 แสนล้านบาท ทั้งนี้ โครงการภาครัฐทั้งหมดต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลก่อนเริ่มดำเนินงาน จึงคาดว่าการลงนามสัญญาจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2569

ขณะที่ CK เน้นงานจากภาครัฐเป็นหลัก ส่วนกลุ่ม STECON มีโครงการจากเอกชนจำนวนมากรองรับที่รอการสรุปในครึ่งแรกของปี 2569 ได้แก่ โครงการพลังงานทดแทนราว 5 พันล้านบาท, data center มูลค่า 2.40 หมื่นล้านบาท, อาคารพาณิชย์ ราว 4.80 พันล้านบาทและโรงไฟฟ้ามูลค่า 7.20 พันล้านบาท

สำหรับ CK แนวโน้มผลประกอบการปี 2568 คาดว่าจะเป็นปีที่ดีที่สุดทั้งในแง่ของกำไรปกติและกำไรสุทธิ โดยรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 เติบโตเกือบ 20% อยู่ที่ระดับ 3.36 หมื่นล้านบาท จากรายได้บริการของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร MRTสายสีส้ม, โรงไฟฟ้าหลวงพระบาง และโครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงของ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ราว 8%

ในส่วนของค่าใช้จ่ายสามารถควบคุมได้ดีอยู่ที่ 1.67 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 2.4% อีกทั้งยังมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทรวม 1.60 พันล้านบาท และเงินปันผลรับอีก 465 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรปกติในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 2.10 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2.90 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% โดยรวมกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์ 814 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี คาดว่ากำไรสุทธิทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ราว 3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 106% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นนัยว่าในไตรมาส 4/2568 จะอยู่ราว 100 ล้านบาท) ส่วนปี 2569 คาดว่ากำไรปกติและกำไรสุทธิอยู่ที่ราว 2.20 พันล้านบาท ลดลง 27% ซึ่งในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 4 เป็นช่วง Low Season จากการลดลงของเงินปันผลรับและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม

ด้าน STECON รายงานผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2568 ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นสูงกว่า 7% และส่วนแบ่งขาดทุนลดลงหลังผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพู/เหลืองเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกันไม่ใช่บริษัทร่วม รวมถึงรับรู้ค่าเครมประกันจากโครงการป้องกันน้ำท่วมหนองบอนราว 320 ล้านบาท ในระยะสั้น ทางฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/2568 เบื้องต้นอยู่ที่ 179 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ทำให้กำไรทั้งปีจะอยู่ราว 1.20 พันล้านบาท ส่วนปีถัดไปคาดกำไรปกติจะเร่งตัวขึ้น 15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 975 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี มูลค่าสัญญาใหม่ ๆ งวด 9 เดือนปี 2568 อยู่ที่ 3.30 หมื่นล้านบาท โดย 90% เป็นงานภาคเอกชน ทำให้คาดยอดทั้งปีจะอยู่ที่ 4.00 4.50 หมื่นล้านบาท (ต่ำกว่า guidance เดิมที่ 5 หมื่นล้านบาท) ในงานในมือ ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 1 แสนล้านบาท (ไม่รวมโครงการ U Tapao Aviation City ที่เป็น JV มูลค่า 2.50 หมื่นล้านบาท)

ส่วนปี 2569 STECON คาดว่าจะรับงานเอกชนเพิ่มอีกราว 4.10 หมื่นล้านบาทในครึ่งแรกของปี 2569 ขณะที่งานภาครัฐจะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2569 นอกจากนี้ บริษัทกำลังพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ เช่น data center ครบวงจร, โครงการพลังงานสะอาด, การบริหารน้ำ/สาธารณูปโภค, โลจิสติกส์ และที่อยู่อาศัย เป็นต้น

โดยฝ่ายวิเคราะห์ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น STECON ให้ราคาเป้าหมาย 7.00 บาท อิงค่า P/E ปี 2569 ที่ 10.8 เท่า ด้วยสัดส่วนงานเอกชนที่มีมาร์จิ้นสูงและศักยภาพในการพัฒนาเป็นผู้รับเหมาที่หลากหลาย

ส่วน CK แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 13.10 บาท อิงจาก PE ปี 2569 ที่ 10 เท่า ทั้งนี้ ปัจจัยหนุนหลักของราคาหุ้นปีหน้าจะมาจากโอกาสได้งานภาครัฐใหม่ ๆ ซึ่งคาดว่าจะเปิดประมูลและลงนามสัญญาได้ในครึ่งหลังของปี 2569 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากงานรับเหมาฯ ในอนาคตอาจมีความไม่แน่นอนจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ (หลังการเลือกตั้งในปีหน้า) ขณะนี้ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มนี้ “เท่ากับตลาดฯ”

Back to top button