“กรภัทร” ชี้ กนง.ลดดอกเบี้ยหนุนตลาด แนะเก็บหุ้นโรงไฟฟ้า-ไฟแนนซ์-ท่องเที่ยว

กรภัทร วรเชษฐ์ มองการลดดอกเบี้ยนโยบาย กนง.เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยระยะกลาง-ยาว แม้ระยะสั้นยังพักฐานจากแรงขาย DELTA แนะคัดเลือกหุ้นเด่นกลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, BCPG, BGRIM, กลุ่มไฟแนนซ์ MTC, กลุ่มท่องเที่ยว CENTEL, ERW, AOT และแบงก์ปันผลดี KTB, KBANK, BBL และ SCB


นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยผ่านรายการ ข่าวหุ้นเจาะตลาด เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ว่า การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยในระยะกลางถึงยาว แม้ในระยะสั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยยังเผชิญความผันผวนและเคลื่อนไหวในแดนลบก็ตาม

ทั้งนี้ ความผันผวนดังกล่าวไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจโดยตรง แต่เกิดจากแรงขายเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะหุ้น บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปรับน้ำหนักการลงทุนของกองทุนแบบ Passive หลังหลุดออกจากดัชนี SET ESG รวมถึงการปรับพอร์ตช่วงปลายปี ส่งผลให้แรงขายกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่และกดดันดัชนีในภาพรวม

นายกรภัทร ระบุว่า ภาพเศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ สะท้อนผ่านอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำและต่ำกว่ากรอบเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ กนง.ส่งสัญญาณชัดเจนว่านโยบายการเงินแบบผ่อนคลายยังมีความจำเป็น และยังมีโอกาสเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอย่างน้อยอีก 1 ครั้ง และอาจมากถึง 2 ครั้งในระยะถัดไป

ในมุมมองนักลงทุนต่างชาติ เงินทุนยังคงไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตรไทยอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปีมีเงินลงทุนสุทธิจากต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ราว 70,000 ล้านบาท สอดคล้องกับแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ที่ปรับลดลงมาอยู่บริเวณ 1.65% และยังมีโอกาสลดลงต่อสู่ระดับ 1.50–1.40% ซึ่งตอกย้ำมุมมองว่าตลาดกำลังเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงอย่างชัดเจน

อีกทั้ง นายกรภัทร มองว่าตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงการพักฐานและสร้างฐานจากแรงขายเชิงโครงสร้างในหุ้นขนาดใหญ่ โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในระยะสั้นมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,250–1,248 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่บริเวณ 1,270 จุด หากดัชนีสามารถทรงตัวเหนือแนวรับดังกล่าวได้ จะช่วยลดแรงกดดันเชิงจิตวิทยา และเปิดโอกาสให้ตลาดทยอยฟื้นตัวในระยะถัดไป

ภายใต้กรอบดังกล่าว นายกรภัทร แนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นที่มีโครงสร้างรายได้มั่นคงและได้รับประโยชน์จากวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาลง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าและพลังงาน ได้แก่ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ซึ่งมีจุดแข็งด้านกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอและต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ขณะเดียวกันในกลุ่มไฟแนนซ์ หุ้น บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ยังคงมีความโดดเด่นจากศักยภาพในการบริหารคุณภาพสินเชื่อและโอกาสฟื้นตัวตามต้นทุนเงินที่ปรับลดลง

นอกจากนี้ กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรมยังคงเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ โดย บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL และ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ส่วน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ซึ่งเป็นหุ้นหลักของกลุ่มท่องเที่ยวไทย ยังคงมีปัจจัยสนับสนุนทั้งในระยะสั้นจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และในระยะกลางถึงยาวจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ การเตรียมปรับขึ้นค่าธรรมเนียมผู้โดยสารขาออก ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพรายได้ในอนาคต

ขณะที่ตลาดยังเริ่มมองไปถึงโอกาสเชิงโครงสร้างในปี 2569 หากวัฏจักรการลงทุนด้านเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น อาจช่วยหนุนการฟื้นตัวของการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กลุ่มธนาคารสามารถเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว

นายกรภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB และ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ยังคงเป็นตัวเลือกหลักในเชิงกลยุทธ์ จากทั้งมุมมองด้านมูลค่าและผลตอบแทนจากเงินปันผล ขณะที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ก็เป็นอีกกลุ่มที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้จากฐานราคาที่ยังไม่แพง และศักยภาพในการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยกลุ่มธนาคารดังกล่าวจึงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มหุ้นปันผลดี ที่เหมาะสำหรับการลงทุนในช่วงวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง

Back to top button