สอยยัง! 6 หุ้น Growth Stock สุดแจ่มชูกำไร Q3 พลิกฟื้น-โตมากกกว่า50%

สอยยัง! 6 หุ้น Growth Stock สุดแจ่ม ชู Q3 กำไรพลิกฟื้น-โตมากกกว่า50% นำโดย CK,EGCO,GLOBAL,KAMART,QH และ WHA


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลหุ้น Growth Stock ที่คาดว่าจะมีกำไรพลิกฟื้น-โตมากในช่วงไตรมาส 3/59 มานำเสนอ โดยอาศัยข้อมูลจากบล.ทิสโก้ ซึ่งระบุว่า กลยุทธ์การลงทุน SET หากหลุด 1490 จุด ควรเพิ่มความระมัดระวังในการเทรดดิ้งสั้น SET ขณะนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากปิดยืน 1500 ได้ Sentiment จะดูดีขึ้น แต่หากหลุด 1490 Sentiment จะดูแย่ แนะนำเพิ่มความระมัดระวังในการเทรดดิ้งสั้น ลงซื้อ-ขึ้นขาย ไม่หวังส่วนต่างราคามาก

สำหรับประเด็นหุ้นน่าสนใจ โดยคาดงบไตรมาส 3/59 ออกมมาดีและมี upside สูง โดยกลุ่มกำไรพลิกฟื้น-โตมาก (Growth > 50%) อาทิ CK, EGCO, GLOBAL, KAMART, QH และ WHA

บริษัทหลักทรัพย์ หลักทรัพย์ ราคาปิด ณ 31 ต.ค.(บาท) ราคาเป้าหมาย (บาท) อัพไซด์
บล.ทิสโก้  CK                  29.50           40.00   35.59
บล.เอเซีย พลัส  EGCO                195.00         230.00   17.95
บล.กสิกรไทย  GLOBAL                  15.40           16.70    8.44
บล.ดีบีเอสฯ  KAMART                  13.70           14.50    5.84
บล.ซีไอเอ็มบี  QH                    2.50            3.40   36.00
บล.ธนชาต  WHA                    3.30            4.00   21.21

 

อันดับ 1 บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK บล.ทิสโก้ ระบุว่า  CK มีงานในมือราว 7 หมื่นล้านบาท รองรับรายได้ไปอีก 2 ปี โดยยังไม่รวมรายได้งานวางระบบสายสีน้ำเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท และจะทำให้งานในมือเพิ่มขึ้นเป็น 9.5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้การประมูลรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลืองในวันที่ 7 พ.ย. แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าจะรู้ผลการประมูลในช่วงต้นปีหน้า CK ตั้งเป้าการประมูล 20-25% ของโครงการ และจะช่วยหนุนงานในมือและผลประกอบการของบริษัทในอีก 3 ปีข้างหน้า

คาดผลประกอบไตรมาส 3/59 ที่ 428 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่ลดลง 58%เทียบไตรมาสก่อนหน้าโดยผลประกอบการเพิ่มขึ้นจาก 1) ดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงจากโครงการไซยะบุรีที่เริ่มเสร็จ 2) ส่วนแบ่งกำไรจาก BEM ผลประกอบการลดลง เทียบไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจาก 1) ฐานที่สูง เทียบไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากการรับงานพิเศษของโครงการไซยะบุรีมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท แนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 40 บาท

 

อันดับ 2 บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ระบุว่า บริษัทคาดว่ากำไรปีนี้จะทำได้ไม่ต่ำกว่า 8 พันล้านบาท จาก 7.9 พันล้านบาทในปีก่อน โดยรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าขนอมหน่วยที่ 4 เป็นส่วนสนับสนุน พร้อมตั้งเป้าขยับเพิ่มสัดส่วนกำไรจากต่างประเทศให้เป็น 50% ในช่วงปี 61-62 จาก 42% จากปัจจุบัน และจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มเป็นสัดส่วน 30% ภายใน 10 ปี จาก 16% จากปัจจุบัน

ทั้งนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับธุรกิจไฟฟ้า เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสการเติบโตได้อีกมาก แต่จะมุ่งเน้นขยายธุรกิจในต่างประเทศที่มีฐานอยู่แล้ว และสามารถขยายตลาดได้อีก ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดหลัก รวมทั้ง สปป.ลาว และอินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบัน EGCO มีโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วในฟิลิปปินส์ 2 โรง และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 โครงการ คิดเป็นปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนถือหุ้นรวมกว่า 1.1 พันเมกะวัตต์

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะนำ “ซื้อ” EGCO ราคาเป้าหมาย 230 บาท โดยมองว่าเป็นหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตที่ชัดเจน ด้วย backlogs ที่มีอยู่ในมือ 7 โครงการ นอกจากนี้มีUpside อีกเพียบ หลังมีแผนการลงทุนโครงการใหม่ซึ่งทำให้ภาพการเติบโตมีความชัดเจนมากขึ้นทั้งจาก backlogs ที่มีอยู่ในมือจำนวนมาก และอีกหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจายื่นข้อเสนอกับทางภาครัฐ อาทิ โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 ในลาว มูลค่าลงทุน 1.4 พันล้านเหรียญ ได้ราวต้นปี 60 อีกด้วย

 

อันดับ 3 บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดบริษัทมีกำไรสุทธิไตรมาส 3/59 ที่ 334 ลบ. โตขึ้น 57.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 19.9% เทียบไตรมาสก่อนหน้า

โดยการเติบโตในเชิง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน นั้นมีแรงผลักดันมาจากกำลังซื้อในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ปรับดีขึ้น บวกกับอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่โตขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากสัดส่วนยอดขายสินค้าตราห้างที่สูงขึ้น ในด้านการปรับตัวลดลงเชิง เทียบไตรมาสก่อนหน้า นั้นสะท้อนให้เห็นช่วง low season และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ่อนตัวลงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายปี 2560 ที่ 16.70 บาทอิงวิธีคิดลดเงินสด (DCF)

 

อันดับ 4 บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ KAMART บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำซื้อเก็งกำไร KAMART ในทางเทคนิคให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 14.0, 14.50 บาท โดยคาดว่ากำไรไตรมาส 3/59 เติบโตดี จากการขยายตัวของยอดขายในประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นไปตามการขยายสาขาของ Modern Trade โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 7-11 ซึ่งเปิดสาขาใหม่ปีละประมาณ 700 แห่ง รวมทั้งการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่เติบโตสูงและคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้บริษัทไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากธุรกิจเดินรถโดยสารอีกหลังจากขายออกไปแล้วในเดือนมิ.ย.59 กำไรสุทธิปี 59 จะขยายตัวประมาณ 30% และเติบโตต่อไม่น้อยกว่า 20% ในปี 60

 

อันดับ 5 บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เชื่อนวัตกรรมใหม่ รูปแบบ และการออกแบบบ้านแบบใหม่ จะช่วยเพิ่มยอด Presale ในครึ่งหลังปี 59 และปี 60

คาดอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังปี 59 เป็นต้นไป จากการลดลงของสต๊อก และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ ปรับประมาณการ Presale ในปี 59 ลงเป็น 18.5 พันล้านบาท คาดกำไรครั้งเดียว 800 ล้านบาท จากการขายหุ้น LHBANK คงคำแนะนำซื้อ คาดกำไรฟื้นตัว และ ราคาหุ้นน่าสนใจ  แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 3.4 บาท

 

อันดับ 6 บริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้แตะ 1.7 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 1.31 หมื่นล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้า โดยคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพราะบริษัทรับรู้รายได้และกำไรภายหลังจะนำทรัพย์สินเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเบื้องต้นคาดช่วงเดือนพ.ย.นี้จะเสนอขายหน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (HREIT) มูลค่ารวมไม่เกิน 8.02 พันล้านบาท

สำหรับทรัพย์สินที่กองทรัสต์ HREIT ลงทุนจะเป็นสินทรัพย์ประเภทโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่าในนิคมอุตสาหกรรมของเหมราช และโครงการเหมราชโลจิสติกส์พาร์ค บริเวณอีสเทิรน์ซีบอร์ด ที่จ.ชลบุรี และจ.ระยอง จำนวน 6 แห่ง พื้นที่เช่า 261,314 ตารางเมตร แบ่งเป็นอาคารโรงงาน 167,372 ตารางเมตร และอาคารคลังสินค้า 93,941 ตารางเมตร

นอกจากนี้ยังมีแผนนำสินทรัพย์เพิ่มเติมของ WHA ขายเข้ากองทรัสต์ WHART มูลค่าไม่เกิน 4.19 พันล้านบาท เป็นโครงการ Mega Logistics Center บางพลี จ.สมุทรปราการ และโครงการ WHA Mega Logistics Center ลาดกระบัง กรุงเทพฯ  โดยคาดจะเสนอขายในช่วงไตรมาส 4/59 จะส่งผลให้ขนาดสินทรัพย์ของกองทรัสต์ WHART เพิ่มเป็นกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่ 9 พันล้านบาท

บล.ธนชาต ระบุว่า WHA แนะ”ซื้อ” พื้นฐาน 4.0 บาท แม้ยอดขายที่ดินยังไม่ดี แต่ธุรกิจเช่าคลังสินค้า และการขายสินทรัพย์เข้า REIT จะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตกำไร และทำให้หนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะนำธุรกิจไฟฟ้าเข้ามา Listed ในตลาดด้วย

 

อนึ่งคนส่วนใหญ่คงอยากรู้ว่าหุ้น Growth Stock คือหุ้นอะไร มีลักษณะสำคัญ และ ความเสี่ยงอะไรที่ต้องระวังคือ

หุ้น Growth Stock (หุ้นเติบโต) คือ หุ้นที่มีสินทรัพย์ รายได้ กำไรสูง และขยายตัวมากกว่า หุ้นตัวอื่นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ประเด็นสำคัญ หุ้นตัวนั้นมี “วิธีโต” อย่างไร ซึ่งจะทำให้เรามีความมั่นใจว่า การเติบโตนั้นจะไม่หดตัวลงในภายหลัง

โดยดูได้จาก1.ขยายฐานลูกค้า โดยขยายสาขา ไปในที่ ที่มีกำลังซื้อมาก,2.มียอดขายสูงขึ้น ต่อเนื่อง บางครั้งก้าวกระโดด,3.มียอดสั่งซื้อ หรืองานในมือมาก,4.ต้นทุนต่ำ กำไรสุทธิสูง โตขึ้นทุกปี,5.ลักษณะสินค้าหรือบริการ มีเอกลักษณ์ ทำให้ซื้อแล้ว ต้องซื้อซ้ำ,6. กิจการได้เปรียบทางการตลาดสูง หรือการแข่งขันของสินค้าเป็นแบบผูกขาด

หุ้น Growth Stock (หุ้นเติบโต) คือ หุ้นที่มีราคาสูง (หุ้นดี ราคาแพง) ดูจากอัตราส่วนราคาหารกำไรต่อหุ้น(Price/Earnings Ratio :P/E) สูงและอัตราส่วนราคาหารมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น(Price /Book Value Ratio :P/BV) สูง

หุ้น Growth Stock (หุ้นเติบโต) คือ หุ้นที่จ่ายเงินปันผลต่ำ เพราะส่วนใหญ่ กิจการจะนำกำไรไปลงทุนเพื่อขยาย กิจการต่อเนื่อง

ความเสี่ยงของหุ้น Growth Stock (หุ้นเติบโต) คือ การทำธุรกิจแล้วพบว่า สินทรัพย์ รายได้ กำไร ที่เกิดขึ้นจริง ต่ำกว่าที่คาดหวัง ราคาที่เคยซื้อมาสูง อาจทำให้เกิดแรงขายเพราะผิดหวัง ส่งผลให้ราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็ว รออีกนานกว่าจะกลับมายืนที่เดิม 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button