เปิด 8 หุ้น Q2 “เทิร์นอะราวด์” ชูแผนงานเด่น-เป้าสูงน่าเก็บ!

ช่วงนี้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เริ่มทยอยประกาศงบไตรมาส 2/60 ออกมาบ้างแล้ว และเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศดังกล่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมข้อมูลหุ้นที่คาดว่าจะมีผลงานพลิกมีกำไรในไตรมาส 2/60 มานำเสนอ เพื่อเป็นทางเลือกในการเข้าลงทุนอีกทาง


ช่วงนี้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เริ่มทยอยประกาศงบไตรมาส 2/60 ออกมาบ้างแล้ว และเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศดังกล่าว ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมข้อมูลหุ้นที่คาดว่าจะมีผลงานพลิกมีกำไรในไตรมาส 2/60 มานำเสนอ เพื่อเป็นทางเลือกในการเข้าลงทุนอีกทาง

โดยหุ้นที่คาดว่าผลงานไตรมาส 2/60 จะพลิกมีกำไรได้สดใส อาทิ RS, ECL, MONO, JWD, PSTC, NWR, TRC และ TVD ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มนี้มีแผนงานโดดเด่น และมีบทวิเคราะห์สนับสนุนให้เข้าลงทุนตามข้อมูลที่นำมาประกอบดังนี้

นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS  เปิดเผยว่า หลังจากที่อาร์เอสใช้เวลาร่วม 3 ปีในการบริหารธุรกิจตามวิชั่น ด้วยความรัดกุม รอบคอบ อดทน และมีวินัย โดยวางเป้าหมายสร้างช่อง 8 เป็นผู้นำทีวีระดับประเทศ จน ขณะนี้คาดว่าจะสามารถทำเรตติ้งได้ 500,000 รายต่อนาทีภายในสิ้นปี 2560 ขยับขึ้นสู่อันดับ 4 ของประเทศทันทีอย่างแน่นอน

ขณะที่วางกลยุทธ์ใช้ศักยภาพสื่อสร้างธุรกิจสุขภาพและความงามให้โดดเด่นเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลักของกลุ่มจนสำเร็จคาดว่าปีนี้จะมียอดขายเติบโตแรงอย่างก้าวกระโดด ทำให้เชื่อว่าสิ้นปีนี้จะทำรายได้กว่า 1,200 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตถึง 600% จากปีก่อน ส่งผลให้โครงสร้างธุรกิจหลักของอาร์เอสคือมีเดียและสุขภาพความงาม และนับจากนี้ (fundamental) พื้นฐานของบริษัทฯ จะเปลี่ยนแปลงทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)หรือ RS คาดกำไรปกติไตรมาส 2/60 ที่ 58 ลบ. +273% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และพลิกจากขาดทุน 77 ล้านบาท ในไตรมาส 2/59 จากการขยายตัวเร็วของธุรกิจ Health&Beauty และการฟื้นตัวของทีวีดิจิตอลตามฤดูกาล ปรับประมาณการปี 660-61 ขึ้น 18-26% และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 14.50 บาท จาก 10.80 บาท

 

ด้านบริษัท ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ECL เปิดแผนรุกตลาดสินเชื่อรถยนต์มือสอง วางเป้าเติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 3,000 ล้านบาทเป็น 10,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี ลุยขยับเป้าปล่อยสินเชื่อรถยนต์มือสองปี 2560 รวม กว่า 2.4 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 50%

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า แนะ”เก็งกำไร” ECL ให้ราคาเป้าพื้นฐาน 3.64 บาท ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 จะเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากฐานลูกค้าสินเชื่อรถมือสองและบิ๊กไบค์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และจะ Turnaround จากขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2/59 โดยประเมินแนวโน้มกำไรจะโตในรูปแบบ Snowball effect แบบไตรมาสต่อไตรมาส)

ด้านหนี้สินต่อทุน (D/E) ณ สิ้นไตรมาส 1/60 ยังต่ำเพียง 1.6 เท่า เทียบกับอุตสาหกรรมฯที่สูงราว 4-5 เท่า ประเมินยังมีโอกาสในการขยายสินเชื่อเชิงรุกได้อีก ทำให้คาดแนวโน้มกำไรสุทธิ/หุ้น (EPS) จะเติบโตได้ตามที่ประมาณการฯได้ คือ 22.5% เฉลี่ยในช่วงปี 60-63

 

ส่วนบริษัท ไซแมท เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SIMAT ให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจรทั้งการจำหน่ายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ การพัฒนาซอฟท์แวร์ และการให้บริการบำรุงรักษาทั่วประเทศ ให้บริการออกแบบ พัฒนา และแปรรูปสิ่งพิมพ์มีกาว สำหรับลูกค้าอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SIMAT (6.10)  คาดผลการดำเนิน Turnaround ฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้อาจชะลอตัวเทียบไตรมาสก่อนหน้า แต่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังตามผลการดำเนินงานของธุรกิจ Label ของบริษัทลูก

 

ด้านบริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO ประกอบธุรกิจออกเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจสื่อและการให้บริการข้อมูล ประกอบด้วยธุรกิจโมบายอินเทอร์เน็ต ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ธุรกิจสื่อทีวี ธุรกิจสื่อวิทยุ และกลุ่มธุรกิจการให้บริการด้านบันเทิง ประกอบด้วยธุรกิจเพลง และธุรกิจภาพยนตร์

บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แม้มีผลการดำเนินงานขาดทุนใน 3 ปีหลังสุดจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการเริ่มต้นประกอบธุรกิจทีวีดิจิตอล แต่เรามองประเด็นความน่าสนใจในการพลิกฟื้น (Turnaround) คาดผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส2/60 ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส1/60 จากอัตราค่าโฆษณาที่ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น

ในขณะที่ช่วงไตรมาส3/60 ก็ยังพร้อมเปิดตัว “See ME” ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยผลักดันผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของ MONO โดยประเมินกำไรสุทธิในปี’60 ที่ 110 ล้านบาท พลิกฟื้นจากขาดทุน 250 ล้านในปี’59 มีกำไรต่อหุ้นปี’60 ที่ 0.03 บาท และประเมินราคาเหมาะสมปี’60 ที่ 4.20 บาท ด้วยวิธี DCF (WACC 10.3%, Terminal growth 1.5%) ณ ระดับราคาปัจจุบันมี Upside 17% เริ่มต้นด้วยคำแนะนำ “ซื้อ”

 

ส่วนบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD บริษัทดำเนินธุรกิจให้บริการทางด้านโลจิสติกส์ภายในประเทศ (In-land Logistics) อย่างครบวงจร แบ่งเป็น 5 ธุรกิจ ได้แก่(1) บริการรับฝากและบริหารสินค้า ทั้งบนพื้นที่ทั่วไปและพื้นที่เขตปลอดอากร (2) บริการขนส่งสินค้าในประเทศ และขนส่งสินค้าข้ามแดน เช่น ประเทศลาว และประเทศพม่า(3) บริการขนย้ายให้กับบุคคลและองค์กรทั้งในและต่างประเทศ(4) บริการจัดการเอกสารและข้อมูล (5) ธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ให้เช่าอาคารสำนักงานและคลังสินค้า และให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ว่า JWD “ซื้อ”พื้นฐาน 11.3 บาท ปรับประมาณการกำไรขึ้น 3-5% ปี 60-61 และคาดการณ์กำไร Turnaround จาก 1) ธุรกิจ Joint Venture เป็นที่ปรึกษา Logistic เริ่มสร้างกำไรตั้งแต่ไตรมาส 2/60 และ 2) การสร้าง Fleet รถบรรทุกใหม่ หนุนกำไรเติบโต 61-37% ปี 60-61 ขณะที่คาดกำไรไตรมาส 2/60 ที่ 40 ล้านบาท +428% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จะเป็น catalyst ระยะสั้นต่อราคาหุ้น

 

ด้านบริษัท เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PSTC ประกอบ 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจออกแบบ จำหน่าย และติดตั้งระบบจ่ายไฟฟ้าและตรวจวัดจัดการสภาพแวดล้อม ซึ่งดำเนินการโดย PSTC ได้แก่ ระบบสำรองไฟฟ้า ระบบตรวจวัดและจัดการสภาพแวดล้อม ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และระบบประหยัดพลังงาน 2.ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โดยบริษัทย่อย

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า PSTC (BUY, TP1.05) คาดกำไรจะทำจุดสูงสุดใหม่อีก 3 ไตรมาสติดต่อกันแนะนำเข้าสะสมหุ้น สะท้อนผลประกอบการไตรมาส 2/60 คาดจะทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 25.1 ลบ. เติบก้าวกระโดด +409%  เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +104% เทียบไตรมาสก่อหน้า จากผลขาดทุนในไตรมาส 3/59-ไตรมาส 4/59 และกำไรเล็กน้อยในไตรมาส 1/60 ภาพของผลประกอบการ Turnaround แบบเร่งตัวขึ้น และคาดทำจุดสูงสุดใหม่ทุกไตรมาส ในช่วงที่เหลือ (ไตรมาส 3/60-ไตรมาส 4/60) จากบันทึกรายได้ส่วนเพิ่มจากโรงไฟฟ้าที่ COD อย่างต่อเนื่อง และยังคงมี Potential Upside จากการเข้าประมูลพลังงานทดแทนเพิ่มเติม

 

ส่วนบริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด หรือ TRC เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 น่าจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ หลังไตรมาส 1/60 มีผลขาดทุนสุทธิ 40.44 ล้านบาท โดยเชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว จากมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น

พร้อมทั้งมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตแตะ 8,000 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 3,736.90 ล้านบาท แม้ไตรมาส 1/60 จะมีรายได้เพียง 954 ล้านบาท โดยมองครึ่งปีหลังรายได้น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น จากงานใหม่ ๆ ที่จะทยอยเข้ามา ซึ่งน่าจะส่งผลต่อรายได้ให้เติบโตไปตามเป้าหมาย ขณะที่ปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้ในปีนี้ราว 2,500-3,000 ล้านบาท

 

ขณะที่บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการไตรมาส 2/60 จะกลับมามีกำไร หลังจากไตรมาส 1/60 มีผลขาดทุน 10.38 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายสินค้าต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลมาจากการย้ายคลังสินค้าหลักของบริษัทในช่วงต้นปี ทำให้การจัดส่งสินค้าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2/60 การจัดส่งสินค้าและการขายกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และยังได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมลงทุนกับ บริษัท ทรี-อาร์ดี จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจ Call Center Outsource Services และ Direct Marketing ทั้งในด้านของการให้บริการขายสินค้า และให้บริการ ผ่านทางโทรศัพท์ รวมไปถึงฐานข้อมูลลูกค้าใหม่ที่เป็นประโยชน์ในการขายสินค้าของบริษัท

นายทรงพล กล่าวอีกว่า บริษัทยังคงมั่นใจว่าผลประกอบการทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 3,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,435.28 ล้านบาท ตามการขยายตัวของ TV Home Shopping ประกอบกับ บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากบริษัทลูกอย่าง บริษัท ทีวีดี โบรกเกอร์ จำกัด ที่ประกอบกิจการนายหน้าประกันชีวิตและประกันวินาศภัยด้วยนอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 50 ล้านบาทในปีนี้ โดยจะนำผลกำไรที่ได้จากการดำเนินงานมาใช้

 

ด้านบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3/60 หากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ยังมีความล่าช้า บริษัทก็จะพิจารณาปรับลดเป้ารายได้ปีนี้ลงจากเดิมคาดว่าจะเติบโตได้มากกว่า 10%

โดยขณะนี้บริษัทมีงานในมือแล้ว 1.2 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ราว 50% และมียอดขายรอรับรู้รายได้จากอสังหาริมทรัพย์ 4-5 พันล้านบาท คาดจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 700 ล้านบาท ขณะที่อยู่ระหว่างรอเข้าประมูลงานภาครัฐและงานเกี่ยวข้องภาครัฐในไตรมาส 2/60 ราว 6.98 หมื่นล้านบาท หวังจะได้รับงานราว 7 พันล้านบาท ขณะที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/60 จะพลิกกลับมามีกำไรหลังจากไตรมาส 1/60 ขาดทุน 6.54 ล้านบาท

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังจะดีขึ้น จากจะมีการโอนโครงการ Aspen Condominium ถนนลาซาล เป็น Low Rise เฟส A มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท มี 425 หน่วย ขายแล้ว 75-80% คาดจะเริ่มโอนในไตรมาสสามปี 2560 โดยจะรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังประมาณ 500 ล้านบาท  และในช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้เปิดโครงการ Aspen Condominium เฟส B มูลค่าโครงการ 750 ล้านบาท มี 398 หน่วย ขายแล้ว 40-50% คาดจะโอนได้ในปลายปีหน้าแนะนำ”HOLD” ราคาเป้าหมาย 1.40 บาท/หุ้น

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button