ดีเดย์ SSP ขึ้นสังเวียนเทรด ลุ้นวิ่งแตะ 12 บ. ลุยขยายกำลังผลิตเต็มสูบ!

ดีเดย์ SSP ขึ้นสังเวียนเทรด ลุ้นวิ่งแตะ 12 บาท จากราคา IPO ที่ 7.70 บาท พร้อมลุยขยายกำลังการผลิตเต็มสูบ ช่วยหนุนธุรกิจโตโดดเด่น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (27 ก.ย.) บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากรเป็นวันแรก โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 276,375,000 หุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท ราคา IPO ที่ 7.70 บาทต่อหุ้น ซึ่งมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

โดยหุ้น IPO จำนวน 276,375,000 หุ้น ประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวน 230,375,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ได้แก่ Unity I. Capital Limited จำนวน 46,000,000 หุ้น รวมคิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้

ขณะที่นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SSP เปิดเผยว่า บริษัทมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 1 โครงการ ได้แก่ โครงการเสริมสร้าง โซลาร์ ในจังหวัดลพบุรี ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญา 40 เมกะวัตต์ (MW) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบ Non-Firm โดยมีอายุของสัญญา 5 ปี และต่ออายุได้คราวละ 5 ปี ซึ่งได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) 6.5 บาท/หน่วย เป็นระยะเวลา 10 ปีนับจากวันที่เริ่ม COD

นอกจากนี้ ยังมีโครงการในประเทศไทยที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและยังไม่เริ่มก่อสร้างอีก 1 โครงการ คือ โครงการโซลาร์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) ในจังหวัดราชบุรี ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญา 5 MW และได้อัตรารับซื้อไฟฟ้ารูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ที่ 4.12 บาท/หน่วย คงที่ตลอดระยะเวลารับซื้อไฟฟ้าตามอายุสัญญา 25 ปี คาดว่าจะเริ่ม COD ในไตรมาส 4/61

ขณะเดียวกันได้เข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นอีก 5 โครงการ ผ่าน SEG ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นในฮ่องกง ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญารวมทั้งสิ้น 93 MW ประกอบด้วย โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 2 โครงการปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญารวม 47 MW ซึ่งประกอบด้วย โครงการฮิดะกะ ในจังหวัดฮอกไกโด ปริมาณพลังงงานไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญา 17 MW และได้อัตรารับซื้อไฟฟ้ารูปแบบ FiT ที่ 40 เยน/หน่วย คงที่ตลอดระยะเวลารับซื้อไฟฟ้าตามอายุสัญญา 20 ปี คาดว่าจะเริ่ม COD ในไตรมาส 1/61

รวมทั้งโครงการยามากะ ในจังหวัดคุมาโมโต้ ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญา 30 MW และได้อัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ที่ 36 เยน/หน่วย คงที่ตลอดระยะเวลารับซื้อไฟฟ้า 20 ปี คาดว่าจะเริ่ม COD ภายในไตรมาส 2/63

ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและยังไม่เริ่มก่อสร้างมีจำนวน 2 โครงการ ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญารวม 36 MW คือครงการโซเอ็น ในจังหวัดคุมาโมโต้ ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญา 6 MW และได้อัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ที่ 36 เยน/หน่วย คงที่ตลอดระยะเวลารับซื้อไฟฟ้าตามอายุสัญญา 20 ปี คาดว่าจะเริ่ม COD ในไตรมาส 4/61

รวมทั้งโครงการลีโอ ในจังหวัดชิซุโอกะ ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญา 30 MW และได้อัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ที่ 36 เยน/หน่วย คงที่ตลอดระยะเวลารับซื้อไฟฟ้า 20 ปี คาดว่าจะเริ่ม COD ในไตรมาส 2/63

นอกจากนี้ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาขั้นต้นอีก 1 โครงการ ได้แก่ โครงการยามากะ  2 ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญา 10.0 MW และได้อัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ที่ 36 เยน/หน่วย คงที่ตลอดระยะเวลารับซื้อไฟฟ้า 20 ปี คาดว่าจะเริ่ม COD ในไตรมาส 2/63

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทยังได้เข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ในประเทศไทยอีก 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ SNNP 1 ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างในจังหวัดสมุทรสาคร กำลังการผลิตติดตั้ง 384 กิโลวัตต์ และโครงการ SNNP 2 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและยังไม่เริ่มก่อสร้างในจังหวัดราชบุรี กำลังการผลิตติดตั้ง 998 กิโลวัตต์

โดยทั้ง 2 โครงการมีอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่อ้างอิงอัตราตามค่าไฟฟ้าฐานขายปลีกจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) ขายปลีกเฉลี่ย โดยมีบริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเป็นเวลา 25 ปี คาดว่าทั้ง 2 โครงการจะ COD ในไตรมาส 4/60

เราให้ความสำคัญกับการลงทุนและพัฒนาบุคลากรเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน  โดยมีเป้าหมายขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าครบ 200 MW ภายในปี 2563 เพื่อยกระดับสู่บริษัทพลังงานชั้นนำแห่งเอเชีย โดยจะเป็นผู้ผลิตและจัดหาพลังงานที่ยั่งยืนควบคู่กับการส่งเสริมสนับสนุนสิ่งแวดล้อมที่สะอาดอย่างมั่นคงเพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม”นายวรุตม์ กล่าว

ด้าน นางสาวธัณฐภรณ์ ไกรพิสิทธิ์กุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SSP กล่าวว่า บริษัทมีจุดเด่นด้านความเชี่ยวชาญในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างมีเสถียรภาพและสม่ำเสมอ

รวมถึงให้ความสำคัญกับการเลือกสถานที่ตั้งโครงการ ที่จะต้องมีค่าความเข้มของแสงอาทิตย์ในระดับที่เหมาะสม มีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่ดี ไม่มีข้อจำกัดด้านการเชื่อมโยงระบบเข้ากับโครงข่ายไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังบริหารงานโดยคนรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียน

ทั้งนี้ SSP อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมทั้งในและต่างประเทศ เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นและภูมิภาคอาเซียน รวมถึงมีนโยบายที่จะขยายไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น ธุรกิจออกแบบ จัดหาวัสดุอุปกรณ์ รับก่อสร้างโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ธุรกิจผลิตและ/หรือจัดหาวัตถุดิบหรือเชื้อเพลิงชีวมวล ให้แก่โรงไฟฟ้าพลังงานชีวภาพ ชีวมวล เป็นต้น

ด้าน นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของ SSP จะได้รับผลดีจากความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยและในประเทศญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนโยบายของภาครัฐที่ให้การสนับสนุนการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง

อนึ่ง SSP เป็นบริษัทประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีบริษัท เสริมสร้าง พลังงาน จำกัด เป็นบริษัทแกน ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งอยู่ที่ จ.ลพบุรี มีปริมาณพลังงานไฟฟ้าเสนอขายตามสัญญา 40 เมกะวัตต์

สำหรับผลประกอบการประจำปี 59 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 448.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 567.32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 67.23 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/60 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 110.54 ล้านบาท ลดลง 23.13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 143.81 ล้านบาท ขณะที่ 6 เดือนแรกมีกำไร 212.92 ล้านบาท หรือลดลง 21.17% จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 270.09 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวรายหนึ่ง เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่าราคาหุ้น SSP เข้าซื้อขายในวันแรก (27 ก.ย.) มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นถึง 12.32 บาท จากราคา IPO ที่ 7.70 บาท โดยคำนวณจากค่า P/E ที่ระดับ 20 เท่า และกำไรต่อหุ้นที่ 0.616 บาท โดยมองว่า SSP มีพื้นฐานที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและยังมีการวางแผนการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้มีแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจค่อนข้างโดดเด่น

Back to top button