ERW สุดพีค! ท่องเที่ยวบูม ลุ้นกำไร Q3/60 โตก้าวกระโดด

ERW สุดพีค! ลุ้นกำไร Q3/60 โตก้าวกระโดด รับอานิสงส์ท่องเที่ยวบูม ขยายสาขาทั้งใน-ตปท.ต่อเนื่อง ด้าน โบรกฯ ให้เป้าสูง อัพไซด์เพียบ


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ของบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW หลังเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 3/60 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดย นักวิเคราะห์ มองว่า แนวโน้มกำไรในช่วงไตรมาส 3/60 ของ ERW จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังจจากได้รับอานิสงส์การท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวเป็นอย่างดี รวมถึงการขยายจำนวนโรงแรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ

ขณะที่ราคาหุ้น ERW ปิดตลาดเมื่อวันที่ 25 ต.ค.60 อยู่ที่ 7 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 6.06% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 175.51 ล้านบาท ทั้งนี้ยังคงมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 7.70 บาท อยู่ 10%

 

ด้าน นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ERW ให้ราคาเป้าหมาย 7.70 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ากำไรไตรมาส 3/60 ของ ERW เติบโตก้าวกระโดดถึง 42% เทียบจากปีก่อน และ 37.9% เทียบจากไตรมาสก่อนเป็น 79 ล้านบาท สืบเนื่องจากการขยายจำนวนโรงแรมเพิ่ม รายได้สูงขึ้น ตามรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (Revpar) อัตรากำไรขั้นต้นมากขึ้น รวมทั้งดอกเบี้ยจ่ายที่ต่ำลง แม้มีการปิดตกแต่งโรงแรม JW Marriott ก็ตาม

ส่วนแผนการขยายจำนวนโรงแรมยังเป็นไปตามแผน นั่นคือในงวดไตรมาส 4/60 จะมีโรงแรม Hop Inns เพิ่มอีกถึง 4 แห่งในไทย จึงนับได้ว่า ERW มีแผนกลยุทธ์ธุรกิจที่สอดรับกับอุปสงค์ที่เติบโตสูงได้เป็นอย่างดี นั่นคือ แผนการขยายจำนวนโรงแรมอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น คงคำแนะนำ ซื้อ แม้ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมาแล้ว แต่หากพิจารณาสัดส่วน EV/EBITDA ก็ถือว่ายังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี อยู่เล็กน้อย ขณะที่ภาวะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยขณะนี้มีการฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี ประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 7.70 บาท ด้วยวิธี DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 17%

ส่วน นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 7.30 บาทต่อหุ้น เนื่องจากการเติบโตของยอดรายได้อย่างต่อเนื่อง จากการขยายสาขาทั้งในประเทศ และที่ฟิลิปปินส์ที่ยังคงมี Supply โรงแรมในระดับต่ำจึงมีอัตราการเข้าพักสูง โดยในอนาคตคาดว่าจะมีรายได้จากประเทศฟิลิปปินส์อยู่ที่ราว 10% ของรายได้รวม

ทั้งนี้คาดการณ์ไตรมาส 3/60 กำไรสุทธิเติบโต 26% เทียบจากปีก่อนและ 30% เทียบจากไตรมาสก่อน แม้ว่าในไตรมาส 3/60 จะได้รับผลกระทบจากการปิดห้องพักเกือบ 50% ของ JW Marriot เพื่อซ่อมแซม ส่งผลให้อัตราการเข้าพักปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ตาม ทาง ERW ก็ยังสามารถปรับเพิ่มค่าพักเฉลี่ยต่อคืนหรือ ARR ได้ เนื่องจากยังคงมีความต้องการเข้าพักอยู่มาก จึงส่งผลให้ RevPar ในไตรมาส 3/60 ปรับตัวสูงขึ้นราว 2-3% โดยคาดการณ์รายได้อยู่ที่ 1.41 พันล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 5% เทียบจากไตรมาสก่อน และ 3% เทียบจากปีก่อนแต่ ERW สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างรัดกุม จึงสามารถปรับเพิ่มอัตราการทำกำไรได้อย่างดี

ขณะเดียวกัน ERW เร่งการเติบของฐานรายได้จากโรงแรมกลุ่ม Budget ภายใต้แบรนด์ Hop Inn ที่ ERW เป็นเจ้าของเอง โดยปัจจุบันมีทั้งสิ้น 27 สาขา ทั่วประเทศ และมี 2 สาขาในประเทศฟิลิปปินส์ โดยที่ในไตรมาส 4/60 ERW จะเปิดโรงแรมกลุ่ม Hop Inn อีก 4 แห่ง ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ กาญจนบุรี ลพบุรี และขอนแก่น

ทั้งนี้มองว่าการขยายสาขาของโรงแรมกลุ่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของ ERW เนื่องจากเป็นโรงแรมกลุ่มที่มีมาตรฐานการบริการ และเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตของลูกค้าสูง โดย ERW วางเป้าหมายสัดส่วนรายได้ของ Hop Inn เป็น 16% ของรายได้รวมในปี 2563

ขณะที่ในช่วงเดือน ก.ย. 2560 นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเติบโต 5.7% เทียบจากปีก่อน (ชะลอตัวลงจากเดือน ส.ค. 2560 ที่เติบโต 8.7% เทียบจากปีก่อน) แต่อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวจีนได้มีการเติบโตต่อเนื่อง (โต 15%เทียบจากปีก่อน) แม้ว่าผลกระทบจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญเกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนต.ค. 2559

ดังนั้นจึงมีมุมมองบวกต่อไตรมาส 4/60 ที่จะเติบโตเทียบจากปีก่อนอย่างแข็งแกร่งเนื่องจากมีฐานที่ต่ำในไตรมาส 4/59 ทั้งนี้การขยายฐานโรงแรมกลุ่ม Mid-Scale ในปี 2561 จำนวน 2 แห่ง ที่ซอยสุขุมวิท 4 (Novotel & Ibis Style) และอีก 2 แห่งในปี 2562 ที่ซอยสุขุมวิท 24 (Mercure & Ibis Style) จะเป็นการช่วยสนับสนุนการเติบโตของการท่องเที่ยวในระดับกลาง

นอกจากนี้มีการคาดการณ์กำไรปี 60 ที่ 553 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้นถึง 50% เทียบจากปีก่อน เนื่องจากมีอัตราการเข้าพักและ ARR ที่สูงขึ้น ส่งผลให้มี RevPAR สูงขึ้นราว 5% ในขณะที่ปี 2561-2562 จะมีการเติบโตที่ต่ำลงมา ที่ 10-13% เนื่องจาก ERW จะเน้นการเปิดโรงแรมกลุ่ม Hop Inn ซึ่งในช่วงแรกจะเป็นช่วง Ramp Up Period

 

Back to top button