SPCG โชว์กำไร Q1 แตะ 782 ลบ. ปรับแผนสู้ “โควิด” หนุนรายได้ปี 64 โตตามเป้า 10%

SPCG เผยกำไรไตรมาส 1/64 โตต่อเนื่อง 782.3 ล้านบาท  ส่งซิกไตรมาส 2 โตต่อเนื่องหลังปรับแผนการตลาดสู้ “โควิด” พร้อมมั่นใจทั้งปี 64 มีรายได้โตเกิน 10%


ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2564 มีรายได้รวมจากการขายและให้บริการราว 1,172.7 ล้านบาท ลดลง 19% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่ทำได้ 1,454.7 ล้านบาท

ขณะที่ไตรมาสนี้บริษัททำกำไรสุทธิได้ 782.3 ล้านบาท (คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.69 บาท) ลดลง 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรอยู่ 837.8 ล้านบาท (คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.77 บาท) หรือกำไรสุทธิลดลงราว 55.5 ล้านบาท สาเหตุรายได้ปรับตัวลงเป็นผลจากเงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จำนวน 8 บาทต่อหน่วยของ

ทั้งนี้ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (สกลนคร 1) จำกัด ที่มีกำลังผลิตราว 7.46 เมกะวัตต์ (ซึ่งเป็น 1 ใน 36 โซลาร์ฟาร์มของบริษัท ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้งๆ ที่โครงการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ 105.1 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 3.2 ล้านหน่วย จากปี 2563 ที่ทำได้ (101.9 ล้านหน่วย) หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 อย่างไรก็ตาม แม้ค่าแอดเดอร์จะหมดไปแต่บริษัทยังคงได้รับรายได้จากการขายไฟในอัตราค่าไฟฐาน (Base Tariff) ตามปกติ

นอกจากนั้นบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด หรือ SPR (บริษัทในเครือ SPCG) ผู้นำด้านการออกแบบและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) มีรายได้ที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ลูกค้าชะลอการลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof)

ดังนั้นบริษัทจึงปรับแผนงานขายและกลยุทธการตลาดใหม่ ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ โดยเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น พร้อมชูนโยบายช่วยลูกค้าลดต้นทุนดำเนินงานด้วยการประหยัดค่าไฟ ทำกำไรได้เพิ่มขึ้น และได้รับงานบริการหลังการขายที่ดี ในขณะเดียวกัน SPCG ยังคงเดินหน้านโยบายปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุน O&M (Operating & Maintenance) สำหรับธุรกิจโซลาร์ฟาร์มทั้งในปัจจุบันและอนาคตลดลงอย่างเป็นนัยสำคัญ

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเสริมสร้างสภาพคล่องและรักษากำไรของบริษัท โดยในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตราว 10% หรือประมาณ 5,500 ล้านบาท นอกจากนั้นบริษัทยังเดินหน้าทุกโครงการอย่างต่อเนื่องทั้งโซลาร์ฟาร์ม และโซลาร์รูฟ ซึ่งในไตรมาส 2 นี้ ลูกค้าให้ความสนใจพร้อมติดตั้งผลิตภัณฑ์ของบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (SPR)

สำหรับโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่น มีความคืบหน้ามาก โดยเฉพาะโครงการ Tottori Yonago Mega Solar Power Plant กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ ได้ผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2561 และบริษัทได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลไปแล้ว 3 งวด หรือ 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา ได้รับประมาณ 16.4 ล้านบาท และมั่นใจว่าปีนี้ยังคงได้รับผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องต่อไป

ด้านโครงการโซลาร์ฟาร์ม Ukujima Mega Solar Project ขนาดกำลังการผลิตรวม 480 เมกะวัตต์ SPCG ถือหุ้น 17.92% เป็นโครงการขนาดใหญ่และเป็นโครงการระหว่างประเทศ ยังเดินหน้างานก่อสร้างตามปกติ แม้จะล่าช้าไปบ้างในช่วงวิกฤตโควิด แต่ปัจจุบันทางญี่ปุ่นได้เร่งเดินหน้างานก่อสร้าง และน่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ COD ได้ราวไตรมาส 3 ปี 2023 ตามแผนงานเดิม ส่วนเงินทุนงวดที่ 3 ที่จากตามกำหนดการเดิมจะต้องใส่เข้าไปราวสิ้นปีที่แล้ว บริษัทยังยืนยันที่จะใส่เงินทุนงวด 3 ตามสัญญาความก้าวหน้าโครงการ

อย่างไรก็ตาม SPCG ในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำธุรกิจด้านพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ บริษัทยังคงมุ่งมั่นรักษาสิ่งแวดล้อม และเดินหน้าช่วยลดสภาวะโลกร้อนเทียบเท่ากับลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศของโลกประมาณ 200,000 ตัน CO2 ต่อปี จากการดำเนินงานโซลาร์ฟาร์ม 36 โครงการ รวมกำลังการผลิตกว่า 260 เมกะวัตต์

Back to top button