“ฟินันเซียฯ” ชี้ MEGA ไตรมาส 4 โตแรง! หนุนกำไรทั้งปีแตะ 1.47 พันลบ. รับเทรนด์สุขภาพ

“บล.ฟินันเซียฯ” คาดการณ์ว่า MEGA เติบโตสูงสุดในไตรมาส 4 หนุนกำไรปกติทั้งปีแตะ 1.47 พันล้านบาท เนื่องจากเทรนด์รักสุขภาพมาแรง ส่งผลให้ยอดขายเติบโตทุกตลาด แนะ “ซื้อ” เป้า 48 บาท


บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (17 พ.ค. 2564 ) หลังจาก บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 เท่ากับ 335.7 ล้านบาท เนื่องจากไม่มีรายการพิเศษเหมือนไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตามหากเทียบกับไตรมาสปกติพบว่าลดลง 25.7% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 9.9% เมื่อเทียบงวดเดียวกันจากปีก่อน ใกล้เคียงกับที่ได้คาดการณ์ไว้ที่ 333.5 ล้านบาท ซึ่งกำไรลดลงเมื่อเทียบงวดเดียวกันจากปีก่อนหน้า เป็นผลจากฤดูกาล แต่กำไรที่เติบโตเมื่อเทียบงวดเดียวกันจากปีก่อนถือว่าทำได้ดี เนื่องจากช่วงต้นปีก่อนที่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายประเทศ ส่งผลให้ความต้องการบริโภควิตามินเพื่อสุขภาพมีสูงขึ้น โดยกระแสดังกล่างยังคงดำเดินต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน

โดยในส่วนของรายได้ของไตรมาส 1/2564 ทำได้ 3,226.5 ล้านบาท ลดลง 7.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ แต่เพิ่มขึ้น 4.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันจากปีก่อน ซึ่งธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Maxxcare ถือว่าเป็นสาเหตุหลักของการเติบโตได้ลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบงวดเดียวกันจากปีก่อนเป็น 1,748.0 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 54.2% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อนและจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า

ขณะที่ธุรกิจแบรนด์ Mega We Care ได้ลดลง 11.1% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบงวดเดียวกันจากปีก่อนหน้า และมีสัดส่วนลดลงจากไตรมาสก่อนๆ เป็น 45.7% หากดูธุรกิจ Brand เป็นรายภูมิภาค ทวีปแอฟริกาซึ่งถือว่าเป็นตลาดอันดับ 2 ที่เติบโตได้ดี ขณะที่ตลาด ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงไต้ (คิดเป็น 76% ของยอดขาย) ลดลง 13.6% เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกันจากปีก่อนหน้า

โดยอัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมลดลง 39% จาก 41.7% ในไตรมาส 4/2563 แต่เพิ่มจาก 38.2% จากไตรมาส 1/2563 ซึ่งเป็นไปตาม Product mix เนื่องจากว่าธุรกิจ Maxxcare มีอัตรากำไรขั้นต้น 17-19% (ในไตรมาส 1/2564 ลดลงเหลือ 16.8%) ส่วน Mega We Care มีอัตรากำไรขั้นต้นกว่า 60% และในไตรมาสนี้ ทำได้ถึง 64.2%

ทั้งนี้ กำไรไตรมาส 1/2564 คิดเป็น 22.8% ของประมาณการกำไรปกติทั้งปีที่คาดการณ์ไว้ 1,470.3 ล้านบาท และในเหตุการณ์ของประเทศเมียนมาร์มีผลกระทบจำกัดต่อธุรกิจของบริษัท เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็น ซึ่งปกติกำไรในไตรมาส 1 จะต่ำสุดของปีและทยอยเติบโตจนสูงสุดในไตรมาส 4 และยังได้อานิสงส์จากเทรนด์รักสุขภาพ ซึ่งธุรกิจ Brand ยังสามารถจำหน่ายได้ดีในทุกตลาด นอกจากนี้การซื้อกิจการในประเทศอินโดนีเซียในปีก่อนเพื่อสร้างตลาดและผลิตยาด้วยตัวเอง ไม่สามารถนำยาเข้ามาได้ อาจใช้เวลา 1-2 ปี จึงจะมีกำไร

โดย “ฝ่ายวิจัย” ได้คาดการณ์กำไรปกติปี 2564 เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบงวดเดียวกันจากปีก่อนหน้า เป็น 1,470.3 ล้านบาท และเติบโตขึ้น 11.7% เมื่อเทียบงวดเดียวกันจากปีก่อนหน้า เป็น 1,642.4 ล้านบาทในปี 2565 “ฝ่ายวิจัย”ได้คงราคาเป้าหมายปี 2564 อยู่ที่ 48 บาท (DCF, WACC 8.6%, TG 3.0%) แนะนำ “ซื้อ”

Back to top button