JP ดัน “MAWO” บุกตลาดเสริมอาหาร ตั้งเป้าผู้ประกอบการร่วม “Z entrepreneur” 10 ราย

JP ปลื้มไอเดีย “Z entrepreneur by JP” ปั้นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ฉลุย ตั้งเป้าผู้ประกอบการร่วมโครงการปีละ 10 ราย ล่าสุดผลักดัน “MAWO” แจ้งเกิดตลาดเสริมอาหาร รับเทรนด์สุขภาพบูม


นายพิษณุ แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการขายและการตลาด บริษัท โรงงานเภสัช อุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JP เปิดเผยว่า หลังจากที่ JP ได้ทำโครงการ ‘Z entrepreneur by JP’ ซึ่งเป็นโครงการที่ผลักดันให้คนรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตัวเอง เช่น สินค้าด้านผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สินค้าโอทอป และสมุนไพรต่างๆ ที่ต้องการโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐาน GMP ที่ได้มาตรฐานส่งออก แต่ไม่มีเงินลงทุนในการซื้อเครื่องจักร ก็สามารถเข้ามาปรึกษากับ JP เพื่อสร้างสินค้าที่ได้มาตรฐาน ซึ่งในโครงการนี้ JP ได้เป็นพี่เลี้ยงในการวิเคราะห์ธุรกิจ การทำแผนธุรกิจ ด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงยังให้คำปรึกษาด้านบรรจุภัณฑ์ และการขออนุญาตขึ้นทะเบียน อย.

โดยโครงการนี้ได้เริ่มต้นขึ้นจากการระบาดของโรค covid – 19 ทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้รับความสนใจจากทั่วโลก จึงมีคนรุ่นใหม่เกิดความต้องการที่จะเข้ามาเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจเหล่านี้แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่ยังขาดความรู้ และขาดคำแนะนำที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้จริง ดังนั้น JP จึงได้เปิดตัวโครงการนี้ขึ้นมา

ทั้งนี้หลังจากเปิดตัวโครงการมีคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมโครงการ 7 ราย  โดย MAWO เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ JP ให้การสนับสนุนจนสามารถสร้างผลิตภัณฑ์เกิดขึ้นได้จริง จึงเป็นตัวอย่างของผู้ที่ต้องการสร้างแบรนด์อาหารเสริมของตนเอง โดยที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก แต่สามารถสร้างสินค้าที่ได้มาตรฐาน และสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ ซึ่งมองว่าการสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้ขึ้นมาแข่งขันในตลาดนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะปัจจุบันคนรุ่นใหม่จะเข้ามาเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ โดยในโครงการนี้ JP จำกัดจำนวนผู้ประกอบการรายเล็กที่ต้องการเข้ามาร่วมโครงการปีละ 10 ราย เพื่อให้เป็นโครงการที่มีการดูแลอย่างใกล้ชิดและมีคุณภาพ

อย่างไรก็ดีนอกจากโครงการ ‘Z entrepreneur by JP’ ยังมีอีกหนึ่งโครงการคือ Economy sharing ที่ JP ได้ทำขึ้นในช่วงเกิดวิกฤต covid -19 ด้วยการทำให้ภาคธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม รวมทั้งอุตสาหกรรมเกี่ยวกับโรงงานผลิตยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้รับผลกระทบ จากกำลังซื้อที่ลดลง ส่งผลให้ภาคผู้ผลิตที่เป็นโรงงานขนาดเล็ก มีความเสี่ยงต้องปิดกิจการชั่วคราว หรือปิดโดยไม่มีกำหนด เกิดการรวมกลุ่มใช้ทรัพยากรร่วมกัน ด้วยการเปิดบริการรับจ้างผลิตสินค้าให้กับโรงงานขนาดเล็ก เพื่อให้โรงงานขนาดเล็กไม่ต้องปิดกิจการ สามารถรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าได้ตามปกติ แต่ไม่ต้องแบกรับต้นทุนด้วยการดำเนินการผลิตเอง เพราะหากคำสั่งซื้อมีปริมาณไม่มากพออาจจะไม่คุ้มทุนกับการผลิตเอง และเสี่ยงต่อการปิดกิจการในที่สุด

ด้านนางสาวณัฐณิชา ดอนสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาโว่ เฮลธ์ จำกัด (MAWO) กล่าวว่า ปัญหาของผู้ประกอบการรายเล็กคือ การมีต้นทุนจำกัดในการลงทุนเครื่องจักรที่ได้มาตรฐานระดับสากล การเข้ามาร่วมโครงการกับ JP จึงทำให้ธุรกิจสามารถเป็นจริงได้ง่ายขึ้น โดยใช้เงินลงทุนไม่มาก อีกทั้งได้รับคำแนะนำ และผ่านการอบรมทั้งด้านงานขาย การเข้าถึงสื่อออนไลน์ การวิเคราะห์ธุรกิจ เป็นต้น

ส่วนแนวคิดการทำธุรกิจของ MAWO นั้น เกิดจากการศึกษาตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี ทำให้เห็นทิศทางการเติบโตที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในยุคของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนหนึ่งที่ทำให้สินค้าประเภทผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นที่ต้องการมากขึ้น ดังนั้น MAWO จึงมองหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งวัยทำงานและกลุ่มผู้สูงวัย ซึ่ง “คอลลาเจน” เป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ เพราะไม่ได้ช่วยแค่เรื่องผิวพรรณ แต่ยังช่วยเรื่องกระดูกและข้อ และเป็นสินค้าที่มีทิศทางการเติบโตของตลาดเพิ่มขึ้นทุกปี

โดยจากที่ได้ทำการศึกษาพบว่าในปี 2564 ตลาดคอลลาเจนเปปไทด์ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 624.0 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะเพิ่มเป็น 932.7 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2571 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 5.91% ในแต่ละปี หรือคิดเป็นประมาณ 30,000 ล้านบาท เนื่องจากสัดส่วนโครงสร้างประชากรทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ในขณะที่ประเทศไทยตลาดวิตามินและอาหารเสริมปี 2563 มีมูลค่า 25,269 ล้านบาทที่เติบตัวเลขเฉลี่ย 8%  โดยตลาดที่กินส่วนแบ่งมากที่สุดคือ ตลาดคอลลาเจน

ดังนั้น “มาโว่ มารีน คอลลาเจน” จึงเป็นสินค้าตัวแรกของแบรนด์ MAWO เพราะตอบโจทย์ความต้องการของทั้งวัยทำงานและผู้สูงวัย อย่างไรก็ดีในอนาคต MAWO มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปสู่สินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ เช่น วิตามินต่างๆ โดยภายในปีหน้า จะเริ่มมีสินค้าประเภทอื่นนอกจากคอลลาเจนออกจำหน่าย ซึ่งสินค้าลำดับต่อไปของ MAWO ก็จะร่วมพัฒนาและผลิตที่โรงงานของ JP เช่นเดิม

สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายของ MAWO นั้น จะเน้น ช่องทางออนไลน์ และโซเชียลคอมเมิร์ซ เป็นหลัก และมีการจำหน่ายผ่านตัวแทนบางส่วน โดยแบ่งสัดส่วนเป็น 70:30 โดยในปีแรกตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 10 ล้านบาท และตั้งเป้าจะเติบโตเป็น 20 ล้านบาทในปีต่อไป เนื่องจากจะมีสินค้าหลากหลายประเภทมากขึ้น โดยสินค้าทุกประเภทจะยังคงอยู่ในแนวคิด “สินค้าคุณภาพระดับพรีเมียม แต่ราคาเข้าถึงง่าย”

Back to top button