
ตลท.เปิดสถิติ SET เดือนพ.ย. ย่อตัว ฟาก “พีอีต่ำ-ปันผลสูง” ดีกว่าค่าเฉลี่ยเอเชีย
ตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงาน SET เดือนพ.ย.68 ปรับลง 4% ปิด 1,256.69 จุด รับผลกระทบเศรษฐกิจชะลอ-อุทกภัยภาคใต้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิต่อเนื่อง ขณะที่เงินทุนไหลเข้ากองทุน ESG และ Forward P/E ตลาดต่ำกว่าภูมิภาค
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (4 ธ.ค. 2568) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า แม้การ Government Shutdown ของสหรัฐฯ จะสิ้นสุดแล้ว แต่ยังมีข้อมูลเศรษฐกิจบางเดือนขาดหาย ขณะที่ตลาดคาดว่าโอกาสที่ คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบสุดท้ายของปี ระหว่างวันที่ 9–10 ธันวาคม 2568 มีค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ คณะกรรมการบางส่วนไม่สนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาการเคลื่อนไหวของ ดัชนี NASDAQ ในช่วงที่ผ่านมา ยังต่ำกว่าช่วง Dot-com peak ปี 2543 และคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้าของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ยังเติบโตต่อเนื่อง นักวิเคราะห์หลายสำนักจึงแนะนำให้กระจายการลงทุนจากหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศ รวมถึงตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)
สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET Index ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ปรับตัวลง 4.0% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า ปิดที่ 1,256.69 จุด สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นโลก และได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2568 รวมถึงสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท. เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2568 ขยายตัว 1.2% ชะลอลงจาก 2.8% ในไตรมาส 2 เนื่องจากการส่งออกและท่องเที่ยวชะลอตัว การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคและการลงทุนภาครัฐลดลง รวมทั้งเงินบาทแข็งค่าที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทจดทะเบียนเกือบทุกหมวดธุรกิจ นอกจากนี้ สถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ที่เกิดขึ้นนอกเหนือความคาดหมาย ยังส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุน
อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงเห็น เงินทุนไหลเข้าสู่กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การขายสุทธิของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ลดลงในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี
ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2568 ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,256.69 จุด ปรับตัวลง 4.0% จากเดือนก่อนหน้า และลดลง 10.2% นับตั้งแต่ต้นปี โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี และ กลุ่มการเงิน
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 34,323 ล้านบาท ลดลง 22.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมอยู่ที่ 41,908 ล้านบาท
นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 12,559 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 113,298 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนการซื้อขายสูงสุดที่ 54.20% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ตามด้วยนักลงทุนรายย่อยในประเทศ 29.06% นักลงทุนสถาบันในประเทศ 10.88% และบริษัทหลักทรัพย์ 5.85%
เดือนพฤศจิกายน 2568 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ใน SET จำนวน 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. กลุ่มสมอทอง (SMO) และ บมจ. มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) (MRDIYT) ส่วนใน mai จำนวน 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล (MMM) และ บมจ. ลอนดรี้ ยู (WASH)
Forward P/E ของตลาด ณ สิ้นพฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ 11.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์เอเชียที่ 14.6 เท่า ขณะที่ Historical P/E อยู่ที่ 11.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในเอเชียที่ 16.4 เท่า ส่วน อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) อยู่ที่ 4.01% สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหลักทรัพย์เอเชียที่ 2.93%
ด้าน ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนพฤศจิกายน 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 329,001 สัญญา ลดลง 19.1% จากเดือนก่อน เนื่องจากการลดลงของ Single Stock Futures, SET50 Index Futures และ Gold Online Futures ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 2568 อยู่ที่ 413,695 สัญญา ลดลง 14.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

