“ทรัมป์” โวคุย “สี จิ้นผิง” ดีล TikTok ผ่าน ฝ่ายจีนยังไม่ยืนยัน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เผยผลการสนทนากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คืบหน้าในหลายประเด็นสำคัญ ทั้งการค้า ปัญหาเฟนทานิล ความจำเป็นในการยุติสงครามรัสเซีย–ยูเครน และการอนุมัติข้อตกลง TikTok ย้ำเป็นการพูดคุยที่ดีมาก และจะโทรศัพท์หารืออีกครั้ง ขณะที่ฝ่ายจีนยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 19 ก.ย.68 (ตามเวลาสหรัฐฯ) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน โดยหารือครอบคลุมหลายประเด็นสำคัญ ทั้งการค้า ปัญหายาเสพติดเฟนทานิล ความจำเป็นในการยุติสงครามรัสเซีย–ยูเครน และการอนุมัติข้อตกลง TikTok

ทรัมป์ ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงจะพบกันที่การประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย–แปซิฟิก (APEC) ที่เกาหลีใต้ โดยตนจะเดินทางเยือนจีนในช่วงต้นปีหน้า และประธานาธิบดีสีก็จะเดินทางเยือนสหรัฐฯ ในเวลาที่เหมาะสม

“การสนทนาครั้งนี้เป็นการพูดคุยที่ดีมาก เราจะมีการพูดคุยทางโทรศัพท์อีกครั้ง ขอบคุณการอนุมัติ TikTok และทั้งสองฝ่ายต่างตั้งตารอที่จะได้พบกันที่เวที APEC” ทรัมป์ย้ำ

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว Politico รายงานว่า ฝ่ายจีนออกแถลงการณ์เพียงว่า การเจรจาต้องเป็นไปตามหลักตลาดและกฎหมายจีน แต่ไม่ได้ยืนยันข้อตกลง TikTok อย่างเป็นทางการ

ขณะที่นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีเพียง “framework deal” กับจีน เพื่อให้ TikTok ดำเนินการต่อได้ แต่ยังไม่ชัดเจนในรายละเอียดเชิงเทคนิค เช่น โครงสร้างผู้ถือหุ้น การเข้าถึงอัลกอริทึม และการจัดการข้อมูลผู้ใช้

ด้านเสียงสะท้อนจากสภาคองเกรสสหรัฐฯ ระบุว่า หากดีลยังเปิดช่องให้ ByteDance ควบคุมอัลกอริทึมหรือข้อมูลผู้ใช้ จะถือว่ายัง “ไม่พอ” ตามเจตนารมณ์กฎหมาย PAFACA 2024 และอาจถูกวิจารณ์ว่าละเมิดความตั้งใจของรัฐสภา

ย้อนรอยปัญหา TikTok–สหรัฐฯ

ปัญหาระหว่างสหรัฐฯ กับ TikTok ยืดเยื้อมาตั้งแต่ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก ในปี พ.ศ. 2563 รัฐบาลสหรัฐฯ แสดงความกังวลว่าแพลตฟอร์มดังกล่าว ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ ByteDance บริษัทจีน อาจเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงและข้อมูลผู้ใช้งานชาวอเมริกัน

โดยทรัมป์ ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารบังคับให้ TikTok ต้องขายกิจการในสหรัฐฯ ให้บริษัทอเมริกัน มิฉะนั้นจะถูกแบน แม้จะมีการเจรจากับ Oracle และ Walmart แต่ไม่สามารถปิดดีลได้

ต่อมาในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน แม้จะยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารดังกล่าว แต่รัฐบาลยังคงสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์และคณะกรรมการ CFIUS ตรวจสอบความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางดิจิทัลอย่างใกล้ชิด TikTok พยายามลดแรงกดดันผ่าน “Project Texas” โดยย้ายข้อมูลผู้ใช้สหรัฐฯ ไปเก็บในเซิร์ฟเวอร์ของ Oracle

ท่ามกลางความกังวลของฝ่ายนิติบัญญัติที่ยังคงรุนแรงขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2566 โจว โซว่จือ (Shou Zi Chew) ซีอีโอ TikTok ถูกสภาคองเกรสเรียกไปแถลงชี้แจงคำถามต่าง ๆ

ขณะเดียวกันหลายรัฐของอเมริกา ก็ออกคำสั่งห้ามใช้ TikTok บนอุปกรณ์ราชการ จนนำไปสู่การตรากฎหมาย Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act (PAFACA 2024) เมื่อเดือนมีนาคม–เมษายน 2567 กำหนดให้ ByteDance ต้องขาย TikTok ออกไปให้ผู้ลงทุนสหรัฐฯ ภายในเวลาที่กำหนด หากไม่ปฏิบัติตาม TikTok จะถูกแบน

TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่โตเร็วมากในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ ทำให้ไปเบียด Meta, Google, YouTube, Snap ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกันเอง

ดังนั้น ปมของ TikTok จึงไม่ใช่แค่ประเด็นโซเชียลมีเดีย แต่เป็น “สัญลักษณ์” ของการแข่งขันสหรัฐฯ–จีนในศตวรรษนี้ และสะท้อนสงครามเทคโนโลยีที่ขยายครอบคลุมตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไปจนถึงแพลตฟอร์มออนไลน์

Back to top button