
เฟดเสียงแตก 10 ต่อ 2 ลดดอกเบี้ย 0.25% “พาวเวลล์” ส่งสัญญาณยังไม่แน่ลดอีก ธ.ค.
ผลประชุม FOMC มีมติ “ลดดอกเบี้ย” 0.25% ตามคาด สู่กรอบ 3.75–4.00% แต่เสียงคัดค้านสะท้อนความเห็นแตกภายใน ขณะ “พาวเวลล์” เตือนตลาดอย่าคาดหวังลดอีกปลายปี พร้อมส่งสัญญาณยุติโครงการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening: QT) วันที่ 1 ธันวาคม 2568
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 ต.ค. 68) คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติ “เสียงแตก” ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ตามเวลาท้องถิ่นนิวยอร์ก
มติดังกล่าวผ่านด้วยคะแนน 10 ต่อ 2 เสียง ให้ลดกรอบอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 3.75%–4.00% ตามที่ตลาดคาดหมาย เพื่อชะลอแรงหน่วงของตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแรงลง ซึ่งเป็นปัจจัยที่เฟดจับตาอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม การลงมติครั้งนี้สะท้อนความเห็นที่แตกต่างในคณะกรรมการอย่างชัดเจน “ฝ่ายเหยี่ยว” (Hawkish) เช่น เจฟ ชมิด จากเฟดสาขาแคนซัสซิตี เห็นควร “คงดอกเบี้ยไว้” ขณะที่ “ฝ่ายพิราบ” (Dovish) อย่าง สตีเฟน มีแรน เสนอให้ “ลดมากกว่านี้อีก 0.50%” สะท้อนความไม่เป็นเอกภาพต่อระดับการผ่อนคลายที่เหมาะสม ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ยังสูงกว่าเป้าหมาย 2%
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า เจ้าหน้าที่เฟดยังไม่สามารถหาฉันทามติร่วมกันได้เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า พร้อมเตือนว่าตลาดการเงิน “ไม่ควรคาดการณ์ล่วงหน้า” ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคมนี้
รายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่า อูโตะ ชิโนฮาระ นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโสจาก Mesirow Currency Management เมืองชิคาโก มองว่า แม้เฟดจะลดดอกเบี้ยตามคาด แต่ท่าทีระมัดระวังของพาวเวลล์ และเสียงคัดค้านจากกรรมการฝั่งเข้มงวดอย่าง ชมิด สะท้อนว่าการลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคมยังไม่แน่นอน ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และกดดันสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
ด้าน ดิมิตรี ซิลวา กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายอัตราดอกเบี้ยและสกุลเงินโลก บริษัทจัดการสินทรัพย์ Reams Asset Management ในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นบริษัทด้านการบริหารการลงทุนและตราสารหนี้ของสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า เสียงคัดค้านในครั้งนี้ไม่เหนือความคาดหมาย เนื่องจากจาก dot plot เดือนกันยายน กรรมการบางส่วนคาดว่าจะไม่มีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้
ซิลวา ยังคาดว่า เฟดจะ ยุติโครงการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening: QT) ในวันที่ 1 ธันวาคม 2568 โดยจะนำเงินจากพันธบัตรที่ครบกำหนดกลับมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลชุดใหม่ และนำเงินจากการชำระคืนสินเชื่อจำนองไปลงทุนในตั๋วเงินคลังสหรัฐ (U.S. T-bills) ซึ่งสอดคล้องกับสัญญาณที่เฟดส่งไว้ก่อนหน้านี้ว่า กระบวนการ QT กำลังเข้าสู่ช่วงสิ้นสุด หลังตลาดเงินเริ่มเผชิญสภาพคล่องตึงตัว
อ้างอิง : Reuters / Federal Reserve

