“ดาวโจนส์” ปิดลบ 74 จุด หลัง “พาวเวลล์” ส่งซิกเฟดไม่ลดดอกเบี้ยอีกปีนี้

ดัชนีดาวโจนส์พลิกปิดลบ หลังพาวเวลล์ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจไม่ปรับลดดอกเบี้ยอีกในปีนี้ ขณะหุ้น Nvidia ทะยานต่อ แตะมูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หนุนตลาดเทคฯ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์พลิกกลับในวันพุธที่ 29 ตุลาคม 2568 (ตามเวลาท้องถิ่น) โดยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นของการซื้อขาย ก่อนปิดลบ หลังเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) ปิดที่ 47,632.00 จุด ลดลง 74.37 จุด หรือ -0.16% ขณะที่ ดัชนี S&P 500 (.SPX) ปิดที่ 6,890.59 จุด ลดลงเล็กน้อย 0.30 จุด หรือแทบไม่เปลี่ยนแปลง และดัชนี Nasdaq Composite (.IXIC) ปิดที่ 23,958.47 จุด เพิ่มขึ้น 130.98 จุด หรือ +0.55%

เฟดมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนมาตรฐานลง 0.25% เมื่อสิ้นสุดการประชุมนโยบาย 2 วันในวันพุธ ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในกรอบ 3.75%–4.00% ถือเป็นการลดครั้งที่ 2 ของปี หลังนักลงทุนจำนวนมากคาดว่าเฟดอาจลดอีกครั้งในการประชุมเดือนธันวาคม

อย่างไรก็ตาม หลังการแถลงข่าวของพาวเวลล์ นักลงทุนเริ่มลดน้ำหนักความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยพาวเวลล์ ระบุว่า “ไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินไว้ล่วงหน้า” (not a foregone conclusion) พร้อมย้ำว่า เฟดต้องการเห็นข้อมูลยืนยันว่า เงินเฟ้อลดลงอย่างยั่งยืนก่อนพิจารณาผ่อนคลายเพิ่มเติม

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีดีดตัวเหนือระดับ 4% อีกครั้ง หลังถ้อยแถลงดังกล่าว สร้างแรงกดดันต่อหุ้นที่อ่อนไหวต่อดอกเบี้ย หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น Costco และ McDonald’s ปรับตัวลดลง ขณะที่ Visa และ Mastercard ร่วงตาม

ด้านหุ้นรายตัว Nvidia Corporation พุ่งขึ้นราว 3% หนุนแรงซื้อในกลุ่มเทคโนโลยี และสร้างสถิติใหม่ กลายเป็นบริษัทสหรัฐฯ แห่งแรกที่มีมูลค่าตลาดทะลุระดับ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะเดียวกัน กลุ่ม “Magnificent Seven” อีก 5 บริษัทเตรียมรายงานผลประกอบการภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่ Alphabet, Meta Platforms, Microsoft, Apple และ Amazon โดยนักลงทุนจับตาการใช้งบลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูล ซึ่งหากผลประกอบการต่ำกว่าคาด อาจกระทบต่อทิศทางตลาดโดยรวม

นักลงทุนยังติดตามการประชุมระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เกาหลีใต้ ท่ามกลางสัญญาณคลี่คลายของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ โดยทรัมป์ระบุว่าอาจปรับลดภาษีนำเข้าที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลจากจีน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 20%

ขณะเดียวกัน ตลาดยังรอข้อมูลการจ้างงานเดือนตุลาคมในปลายสัปดาห์ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของเฟดในช่วงที่เหลือของปี

Back to top button