“ดาวโจนส์” ปิดบวก 203 จุด รับแรงหนุนคาด “เฟด” ลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค.

“ดาวโจนส์” ปิดบวก 203 จุด รับแรงซื้อโดยหุ้นเทคโนโลยี หลังนักลงทุนเพิ่มน้ำหนักคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม ส่งผลให้ดัชนีหลักของวอลล์สตรีทปิดปรับขึ้นเขียวยกกระดาน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันจันทร์ (24 พ.ย. 68) ตามเวลาสหรัฐฯ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ รวมถึงความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) ปิดที่ 46,448.27 จุด เพิ่มขึ้น 202.86 จุด หรือ +0.44%
  • ดัชนี S&P 500 (.SPX) ปิดที่ 6,705.12 จุด เพิ่มขึ้น 102.13 จุด หรือ +1.55%
  • ดัชนี Nasdaq Composite (.IXIC) ปิดที่ 22,872.01 จุด เพิ่มขึ้น 598.92 จุด หรือ +2.69%

หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในกลุ่ม Magnificent Seven ปรับตัวขึ้นเด่น โดยหุ้น Nvidia เพิ่มขึ้น 2% หุ้น Meta Platforms เพิ่มขึ้น 3.1% และหุ้น Apple เพิ่มขึ้น 1.6% ขณะที่หุ้น Alphabet ปรับตัวขึ้นถึง 6.3% จากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อศักยภาพการแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ หลังบริษัทลูกอย่าง Google เปิดตัวโมเดล AI รุ่นใหม่ “Gemini 3” ต่อเนื่องจาก “Gemini 2.5”

ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เปิดเผยในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะข้อมูลแรงงาน รวมถึงท่าทีของเจ้าหน้าที่เฟดหลายราย ที่แสดงความเห็นสนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ย อาทิ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟด, จอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดนิวยอร์ก และแมรี ดาลี ประธานเฟดซานฟรานซิสโก ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยหนุนแนวโน้มดังกล่าว

ข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME Group ล่าสุดระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 85% ต่อความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นจากเพียง 42.4% เมื่อสัปดาห์ก่อน

อย่างไรก็ดี ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับความร้อนแรงของธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ แต่ฝั่งนักวิเคราะห์ยังมีมุมมองเชิงบวก โดย Deutsche Bank คาดว่า ดัชนี S&P 500 อาจแตะระดับ 8,000 จุดภายในสิ้นปี 2569 ซึ่งถือเป็นประมาณการเชิงบวกที่สุดในกลุ่มสถาบันการเงินรายใหญ่ระดับโลก

สำหรับสัปดาห์นี้ นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ จากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้แก่ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ราคาบ้านจาก S&P/Case-Shiller ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจาก Conference Board และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางตลาดในระยะถัดไป

Back to top button