11 หุ้น mai แซ่บสุดขีด! ราคาพุ่งแรงปรี๊ดปร๊าด

11 หุ้น mai แซ่บสุดขีด! ราคา 10 เดือนแรกของปี 59 พุ่งแรงปรี๊ดปร๊าด กวาดรีเทิร์นเกิน 50%


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใน mai โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกจากราคาหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นเกิน 50% ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2559 นับตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.58 จนถึงวันที่ 31 ต.ค.59 ถือเป็นการให้ผลตอบแทนกับนักลงทุนที่ถือหุ้นมาตั้งแต่ต้นปี 59 ค่อนข้างสูง ซึ่งได้คัดเลือกมาทั้งหมด 11 บจ.ดังนี้ KOOL ,QTC ,YUASA ,TVD ,SALEE ,TACC ,ATP30 ,TNH ,2S ,TNP และ PICO

ตารางแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น

 

สำหรับหุ้น 5 อันดับแรกมีดังนี้

อันดับที่ 1 บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 344% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 10 พ.ย.59 ทรงตัวอยู่ที่ 5.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 9.48ล้านบาท

ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้น KOOL โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2560 อยู่ที่ 6.50 บาท หลังได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2559 เพิ่มขึ้นอีก 42% เป็น 102 ล้านบาท หรือเติบโตก้าวกระโดด 1,176% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเพียง 8 ล้านบาท

 

อันดับที่ 2 บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 307.84% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 10 พ.ย.59 อยู่ที่ 20.60 บาท ปรับตัวลง 0.40 บาท หรือ 1.90% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 17.94 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม QTC เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย ระดับ 1 : Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. 2559 และจะสิ้นสุดวันที่ 25 พ.ย. 2559

 

อันดับที่ 3 บริษัท ยัวซ่าแบตเตอรี่ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ YUASA ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 187.02% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 10 พ.ย.59 อยู่ที่ 30.50 บาท ปรับตัวขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.67% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 496.80 ล้านบาท

ทั้งนี้ YUASA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 39.76 ล้านบาท หรือมีกำไร 0.37 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 1,148% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.19 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.03 บาทต่อหุ้น

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวมีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในตลาดส่งออกและตลาดทดแทนภายในประเทศเพิ่มขึ้น และมีต้นทุนการขายลดลง

 

อันดับที่ 4 บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น  112.07%นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 10 พ.ย.59 อยู่ที่ 2.28 บาท ปรับตัวลง 0.04 บาท หรือ 1.72% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 5.34 ล้านบาท

ด้าน นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TVD เปิดเผยว่า บริษัทคาดกำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ หลังได้ปรับเป้ารายได้เพิ่มเป็น 3.68 พันล้านบาท จากเดิมที่ 3.21 พันล้านบาท เนื่องจากผลประกอบการช่วงที่ผ่านมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และมีแผนเพิ่มรายได้จากธุรกิจดิจิตอลทีวีที่มีความเสถียรและมีคุณภาพมากขึ้น โดยกลุ่มผู้ชมจะเริ่มมีการกระจายตัวไปยังช่องต่างๆ ไม่กระจุกตัวเหมือนที่ผ่านมา ส่งผลให้การขายสินค้าทางทีวีจะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามปริมาณมีเดีย

 

อันดับที่ 5 บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ SALEE ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 103.30% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 10 พ.ย.59 อยู่ที่ 1.77 บาท ปรับตัวขึ้น 0.02 บาท หรือ 1.12% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 16.58 ล้านบาท

ทั้งนี้ SALEE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 22.12ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0145 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 348% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.94  ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ0.0032 บาทต่อหุ้น

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 329 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 261 ล้านบาท เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจและการผลิตในประเทศที่เริ่มฟื้นตัว รวมทั้งการเริ่มรับรู้รายได้ของบริษัทย่อย คือ บริษัท เพชรสยาม(ประเทศไทย) จำกัด เข้ามา

 

อนึ่ง บจ.ดังกล่าวข้างต้นถือว่าทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้านราคาหุ้นปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก สะท้อนพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อีกทั้งผู้บริหารได้มีการวางแผนขยายธุรกิจ และบริหารงานได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากราคาหุ้นเกิน 50% นับตั้งแต่ต้นปี 59

อย่างไรก็ตามการเข้าลงทุนในบจ.ดังกล่าวอาจจะมีความเสี่ยงเนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ทั้งนี้นักลงทุนต้องดูผลประกอบการของบริษัท และดูค่า P/E เพื่อประกอบการตัดสินใจด้วยว่าราคาหุ้นนั้นถูก หรือ แพง เมื่อเทียบกับ P/E กลุ่ม

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button