“จุลพันธุ์” เปิดโมเดล“ENTERTAINMENT COMPLEX”ยึดสิงคโปร์-จำกัดใบอนุญาต ลงทุนกลางเมืองใหญ่

รัฐบาลเปิดตัวโครงการ THAILAND ENTERTAINMENT COMPLEX ตั้งเป้าสร้างมหานครแห่งประสบการณ์ระดับโลกในไทย เลือกโมเดลลงทุนแบบจำกัดใบอนุญาตตามแบบประเทศที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสิงคโปร์ ดึงเอกชนร่วมพัฒนา “เมกะไซต์” ใจกลางเมือง ครบทั้งอินดอร์สเตเดี้ยม ศูนย์วัฒนธรรม ห้าง โรงแรม และท่าเทียบเรือสำราญ คาดเม็ดเงินลงทุนทะลุแสนล้านบาท ยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว-บริการไทยสู่เวทีโลก


วันนี้ (4 มิ.ย. 68) ที่กระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดตัวโครงการ THAILAND ENTERTAINMENT COMPLEX มหานครแห่งประสบการณ์ระดับโลกเพื่อคนไทยทุกคน โดยมีนายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมนำเสนอรายละเอียดโครงการ

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ในมุมมองเศรษฐกิจวันนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์ (Geo-politics) และการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลกที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือ การส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว

ปัจจุบัน หลายประเทศทั่วโลกกำลังเร่งสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destination Tourism) เพื่อเป็นกลไกใหม่ในการชักจูงนักท่องเที่ยว โครงการ THAILAND ENTERTAINMENT COMPLEX จึงถูกออกแบบให้เป็นจุดหมายแห่งใหม่ของภูมิภาค

รมช.คลัง กล่าวย้ำว่า โครงการนี้ไม่ใช่นโยบายแบบ “One Time” หรือโครงการครั้งเดียวจบ แต่เป็นแนวทางระยะยาว ภายใต้กระบวนการที่โปร่งใส ให้ความสำคัญกับเสียงของประชาชน และเปิดรับข้อเสนอแนะทุกขั้นตอน

นายศึกษิษฏ์ กล่าวให้รายละเอียดของโครงการเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) สรุปได้ว่า โครงการนี้จะประกอบด้วย “อินดอร์สเตเดี้ยมขนาดใหญ่” รองรับกิจกรรมตลอดทั้งปี เช่น คอนเสิร์ตขนาดใหญ่และการแข่งขันกีฬา พร้อมยกตัวอย่างการเช่า สนามราชมังคลากีฬาสถาน ปัจจุบัน ต้องมีค่าเก็บและปูหญ้า 6 ล้านบาท ใช้เวลาราว 2 สัปดาห์ สะท้อนต้นทุนที่สูงและข้อจำกัดของพื้นที่เดิม

ขณะเดียวกัน ในร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ยังระบุว่า พื้นที่อย่างน้อย 10% ต้องจัดไว้สำหรับศูนย์การแสดงสินค้าและวัฒนธรรมไทย เพื่อให้คนไทยมีโอกาสแสดงศักยภาพและสร้างรายได้ พร้อมทั้งมีศูนย์ประชุมนานาชาติขนาดใหญ่ เสริมโครงสร้าง MICE ที่มีอยู่เดิม

สำหรับส่วนของโรงแรมและห้างสรรพสินค้า ประเทศไทยมีอยู่แล้วจำนวนมาก แต่หากสามารถดึงแบรนด์ระดับโลกเข้ามาเสริม จะเพิ่มทางเลือกแก่ผู้บริโภค และกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

นายศึกษิษฏ์ ยกตัวอย่างโมเดลของประเทศเพื่อนบ้านว่า ก่อนที่มารีนาเบย์แซนส์ (Marina Bay Sands) จะเปิด สมาคมโรงแรมในสิงคโปร์ เคยกังวลว่า โรงแรมใหม่ที่จะเพิ่มอีก 1,000-2,000 ห้อง อาจกระทบอุตสาหกรรมเดิม แต่ผลลัพธ์คือกิจกรรมที่ตามเข้ามากับเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ กลับทำให้อัตราเข้าพัก (occupancy rate) ของทั้งประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 70% ตลอดทั้งปี สะท้อนผลลัพธ์ที่พลิกอุตสาหกรรมทั้งระบบ

นอกจากนี้ โครงการยังรวมถึงพิพิธภัณฑ์ สวนสนุก สวนน้ำล้ำสมัย ที่เด็กและเยาวชน สามารถเข้าถึงในราคาย่อมเยา ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ ศูนย์ OTOP พื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ และ “แลนด์มาร์ก” ที่จะเป็นปอดสีเขียวของเมือง

ที่สำคัญ มีที่จอดเรือสำราญครุยส์ (Yacht Terminal) ดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวมูลค่าสูง ซึ่งมีอัตราการใช้จ่ายต่อหัวมหาศาล และหากสามารถจอดได้กลางเมืองก็ยิ่งเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น ควบคู่กันนั้นจะมีศูนย์นวัตกรรมสำหรับสตาร์ทอัพ (Start Up) เพื่อเชื่อมโยงกับนักลงทุน สร้างการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และผลักดันเศรษฐกิจอนาคต

สำหรับโมเดลการพัฒนา โครงการนี้จะใช้แนวทางแบบประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น สิงคโปร์, UAE และญี่ปุ่น โดยจำกัดจำนวนใบอนุญาต และบังคับให้เป็นโครงการเมกะไซต์ ที่มีมูลค่าลงทุนขั้นต่ำ 100,000 ล้านบาท พร้อมมาตรการกำกับดูแลตามมาตรฐานสากล และนำแนวทาง Global best practices ผสานกับระบบ Local governance

นอกจากนี้ โครงการจะตั้งอยู่ใกล้ระบบคมนาคม และสถานที่ท่องเที่ยวเดิม เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเชื่อมโยงเส้นทางได้สะดวก กระจายรายได้ลงสู่ชุมชนโดยรอบ

ผลลัพธ์จากประเทศต้นแบบพบว่า การลงทุน 300,000 ล้านบาท เมื่อ 15 ปีก่อน ขยับ GDP ได้ 1-2% จ้างงานกว่า 20,000 คน และสร้างรายได้ภาษี 440,000 ล้านบาท ซึ่งเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งระบบ

อย่างไรก็ตาม นายศึกษิษฏ์ ย้ำว่า เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ไม่ใช่การพนันออนไลน์ และห้ามโฆษณาอย่างเด็ดขาด ในร่าง พ.ร.บ. ระบุชัดว่า ต้องคัดกรองผู้เข้าใช้บริการทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง โดยจะมีมาตรการ “แบน” 3 รูปแบบ คือ จากตัวบุคคล, ครอบครัว และคำสั่งภาครัฐ

ขณะที่เพื่อป้องกันการฟอกเงินอย่างเด็ดขาด รัฐบาลออกแบบระบบแลกเงินและติดตามธุรกรรมในเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์อย่างเข้มงวด โดยทุกบาททุกสตางค์ที่แลกเข้าระบบ เช่น 100 บาท ต้องถูกใช้ในระบบเกมในโซนกาสิโน อย่างน้อย 90 บาท หากไม่ถึงเกณฑ์ ระบบจะ “สแตมป์” ระบุว่าเงินดังกล่าวไม่ใช่รายได้จากการเล่นเกม จึงไม่สามารถแลกกลับได้ตามปกติ ซึ่ง เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้การฟอกเงินเกิดขึ้นไม่ได้ ภายในพื้นที่ดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการห้ามบุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าสู่พื้นที่กาสิโนโดยเด็ดขาด พร้อมด้วยการลงทะเบียนผู้เล่นแบบรู้จักลูกค้า หรือระบบ KYC (Know Your Customer) เพื่อการติดตามพฤติกรรมในระบบแบบเรียลไทม์

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ประเมินว่า หากมีการลงทุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในไทย จะขับเคลื่อน GDP เพิ่มขึ้น 0.23% ระหว่างก่อสร้าง และอีก 0.2-0.8% หลังเปิดดำเนินการ สร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวปีละ 119,000-238,000 ล้านบาท และจ้างงานกว่า 15,000 ตำแหน่ง

รองเลขาธิการนายกฯ เชื่อว่า ตัวเลขนี้ยังต่ำกว่าศักยภาพจริง โดยประเมินว่าผลกระทบเชิงบวกน่าจะเกิน 300,000 ล้านบาท และช่วยลบฤดูโลว์ซีซั่นของการท่องเที่ยวไทยในระยะยาว

ขณะที่รายได้จากโครงการจะถูกจัดสรรเพื่อโอกาสทางการศึกษา การพัฒนาเมืองห่างไกล การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการพนัน รวมถึงรางวัลนำจับแก่เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย

นายจุลพันธ์ กล่าวเสริมว่า เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ต้องใช้เวลาหลายปี ขณะที่อายุสภาฯ เหลือ 2 ปี หากเป็นไปได้ จะดำเนินการ “ตัวกฎหมาย” ให้รอบคอบ ป้องกันจุดลบที่หลายฝ่ายเป็นกังวล และพยายามให้เสร็จในสมัยรัฐบาลชุดนี้

จากการพบกับผู้ประกอบการที่มาพบแล้ว 2 เจ้า แสดงความสนใจมาลงทุนในประเทศไทย พร้อมที่จะเข้ามาแข่งขันอย่างเป็นธรรม และ 1 ในนั้นพูดได้เต็มปากว่า หากประเทศไทยเกิดเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ขึ้นมา ภายใน 5–10 ปีข้างหน้า เราจะเป็น IR เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก (อันดับ 1 สหรัฐอเมริกา, อันดับ 2 มาเก๊า)

“แน่นอนในภูมิภาคอาเซียนเราข้ามหมด” นายจุลพันธ์กล่าว และเชื่อว่า หากเกิดขึ้นจะดึงผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจต่อประเทศไทยมูลค่ามหาศาล พร้อมย้ำว่า เป็นการลงทุนโดยเอกชน 100%

Back to top button