
“เผ่าภูมิ” ไม่หวั่น “เวิลด์แบงก์” หั่นจีดีพี – ชี้เศรษฐกิจไม่นิ่ง ลุ้นผลดีลสหรัฐ
รมช.คลัง ชี้ตัวเลข GDP ไทยปี 68 ที่ธนาคารโลกปรับลดเหลือ 1.8% ยังไม่สะท้อนสถานการณ์จริง เหตุข้อมูลสำคัญยังอยู่ระหว่างเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ มั่นใจผลลัพธ์ช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้น เร่งกลั่นกรองโครงการกระตุ้น 1.57 แสนล้าน ชง ครม. ภายใน 2 สัปดาห์
วันนี้ (11 มิ.ย. 68) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีธนาคารโลก (World Bank) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2568 ลงเหลือ 1.8% และคาดว่าปี 2569 จะชะลอตัวต่อเนื่อง เหลือ 1.7% ว่า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า “สถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่แน่นอน” และ “ยากต่อการประเมินได้อย่างแม่นยำในช่วงนี้”
นายเผ่าภูมิ ระบุว่า ข้อมูลนำเข้า (Input) หลายด้านยังไม่นิ่ง ส่งผลให้ผลลัพธ์ (Output) ก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ชัดเจน การประเมินของหน่วยงานระหว่างประเทศจึงเป็นการวิเคราะห์ตามรอบเวลาและข้อมูล ณ ขณะนั้น แต่รัฐบาลไทยยังอยู่ระหว่างการดำเนินการสำคัญหลายด้าน โดยเฉพาะการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ และเชื่อว่าผลการเจรจาจะเป็นไปในทิศทางที่ดี
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังมีมาตรการภายในประเทศเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณา เพื่อเสริมความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
นายเผ่าภูมิ ระบุว่า ขณะนี้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน กำลังพิจารณาคำของบจากหน่วยงานภาครัฐที่เสนอเข้ามาแล้วกว่า 10,000 โครงการ รวมวงเงินกว่า 400,000 ล้านบาท เพื่อคัดกรองให้สอดคล้องกับวงเงินที่มีอยู่ 157,000 ล้านบาท
โดยคาดว่าจะสามารถสรุปรายชื่อโครงการและเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พิจารณาภายใน 1-2 สัปดาห์ ก่อนจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการได้พิจารณากลั่นกรองโครงการ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ได้แก่ 1. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและคมนาคม 2. การลงทุนด้านการท่องเที่ยว 3. การลดผลกระทบจากภาคการส่งออก หรือการเพิ่มผลิตภาพเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน และ 4. การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
นายเผ่าภูมิ ย้ำว่า รัฐบาลจะเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว