“นพ.กฤชรัตน์” เคลียร์ปมบาทแข็ง ย้ำส่งออกทองกัมพูชาไม่ใช่ตัวการ

ประธาน MTS Gold Group ย้ำชัด การส่งออกทองคำไปกัมพูชาเป็นการค้าปกติ ไม่ใช่ปัจจัยหนุนเงินบาทแข็ง ชี้ความสัมพันธ์ราคาทอง–ค่าเงินเป็นผลจากดอลลาร์อ่อนค่า พร้อมมองทิศทางทองคำยังขาขึ้น แนะขายทำกำไรบางส่วนก่อนเข้าซื้อใหม่เมื่อราคาย่อตัว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 ก.ย.68) นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด (MTS Gold Group) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” โดยกล่าวถึงประเด็นการส่งออกทองคำและความผันผวนของค่าเงินบาทแข็งค่า

นพ.กฤชรัตน์ กล่าวว่า การส่งออกทองคำในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 เมื่อเทียบกับปีก่อนยังอยู่ในระดับต่ำกว่า โดยในปี 2567 ไทยส่งออกทองคำกว่า 40 ตัน แต่ปีนี้ ณ ปัจจุบัน ส่งออกเพียงราว 20 ตัน หรือน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกยังอยู่ในระดับสูง โดยปีที่แล้วมีมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้อยู่ที่ประมาณ 68,000 ล้านบาท ทั้งนี้ การค้าทองคำกับประเทศเพื่อนบ้านดำเนินมาแล้วหลายสิบปี และในบางช่วง ปริมาณการส่งออก (นับเป็นตัน) ยังสูงกว่าปัจจุบันด้วยซ้ำ

ในส่วนของการค้าระหว่างกัน นายกฤชรัตน์ย้ำว่า เป็นการค้าตามปกติ ไม่ใช่การค้าชายแดน แต่เป็นการนำเข้า–ส่งออกที่ดำเนินการผ่านกระบวนการศุลกากรอย่างถูกต้องตามกฎหมายของทั้งสองประเทศ

พอมีคนไปลากว่า ทองจะเกี่ยวกับเงินบาท ทำให้แข็งหรือเปล่า ต้องบอกว่าในกรณีที่ส่งออกไปเขมร มันใช้การซื้อขายที่เราเรียกว่าเป็น Dollar-based หรืออ้างอิงดอลลาร์สหรัฐ ไม่ได้ โฟกัส เป็นเงินบาท นั่นหมายความว่าเรารับเป็นดอลลาร์ก็ส่งเป็นดอลลาร์ไปให้ต่างประเทศ เพราะทองที่เขมรส่งออกไป ส่วนใหญ่เป็นทองสวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้นไม่ใช่ทองไทย เราแค่เป็นทางผ่าน ลักษณะซื้อขายที่ใช้เงิน Dollar-based ไม่ได้แปลงเป็นเงินบาท ดังนั้นโอกาสที่ซื้อขายที่เขมรแล้วจะมากระทบให้บาทแข็ง อันนี้จึงไม่ใช่ เพราะว่าเป็น Dollar-based

นพ.กฤชรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับประเด็นที่หลายคนมองว่า เมื่อราคาทองปรับขึ้น ค่าเงินบาทจะแข็งค่าตาม ต้องชี้แจงว่า ความสัมพันธ์ลักษณะนี้มีมานานหลายสิบปีแล้ว เนื่องจากพื้นฐานกลไกหลัก 3 ตัว คือ ดอลลาร์บาททอง จะเห็นได้ว่าเมื่อดอลลาร์อ่อนค่า ราคาทองมักจะปรับขึ้น และเมื่อดอลลาร์อ่อนค่า ค่าเงินบาทก็จะแข็งค่าด้วย ซึ่งถือเป็น Direct Correlation ไม่ใช่ว่าทองขึ้นแล้วทำให้เงินบาทแข็งโดยตรง

ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ราคาทองปรับขึ้นกว่า 20 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ค่าเงินบาทไม่ได้แข็งค่าหรืออ่อนค่าชัดเจน โดยอยู่ที่ประมาณ 31.83 บาทต่อดอลลาร์ จากระดับ 31.75 บาทเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าการแข็งค่าของเงินบาทไม่ได้เกิดจากราคาทองคำ แต่ทั้งสองปัจจัยเคลื่อนไหว “คู่ขนาน” กัน เพราะราคาทองอิงกับดอลลาร์เป็นหลัก ขณะที่เงินบาทแข็งค่ามาตั้งแต่ต้นปีราว 7% ส่วนราคาทองปรับขึ้นแล้วกว่า 40% หากเป็นความสัมพันธ์โดยตรงจริง ค่าเงินบาทจะต้องแข็งกว่า 20–30% ดังนั้นปัจจัยสำคัญจึงมาจากการอ่อนค่าของดอลลาร์และกระแสเงินทุนไหลเข้ามากกว่า

นพ.กฤชรัตน์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าหลังกัมพูชานำเข้าทองจากไทยแล้วได้นำไปใช้ประโยชน์ในลักษณะใดต่อไป แต่สามารถเปรียบเทียบได้กับกรณีที่ไทยนำเข้าทองจากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งไทยก็นำไปใช้ทั้งเพื่อการบริโภคภายในประเทศและบางส่วนส่งออก ทั้งนี้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประชาชนนิยมซื้อทองคำเพื่อเก็บสะสม ไม่ว่าจะเป็นจีน เวียดนาม กัมพูชา ลาว หรือไทย จึงทำให้ลักษณะการบริหารจัดการทองคำในประเทศต่าง ๆ ส่วนหนึ่งจะถูกส่งออกด้วย

เมื่อถูกถามว่า ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการนี้ มองว่าการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชามีความผิดปกติหรือไม่ นพ.กฤชรัตน์ กล่าวว่า ได้ตรวจสอบร่วมกับสมาคมและผู้ค้าทองคำแล้ว โดยการซื้อขายฝั่งกัมพูชามีใบ License ที่ออกโดยธนาคารกลาง อนุญาตให้นำเข้า–ส่งออกทองคำอย่างถูกต้อง ซึ่งมีอยู่เพียง 3–4 รายเท่านั้น

ขณะที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจกัมพูชาธรรมดา (ไม่ได้มีขนาดใหญ่) แต่เหตุใดจึงต้องนำเข้าทองคำจำนวนมาก แต่อย่าลืมว่า ไทยเองก็นำเข้าทองคำจากหลายแหล่งรวมหลายร้อยตันต่อปี ทั้งจากออสเตรเลียและสิงคโปร์ ขณะที่กัมพูชาส่วนใหญ่ซื้อมาจากไทยเพียงประเทศเดียว และไม่สามารถติดต่อซื้อขายโดยตรงกับตลาดโลกได้ จึงต้องอาศัยไทยเป็นทางผ่าน

ทั้งนี้ ยืนยันว่าการค้าระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่ใช่การลักลอบแต่อย่างใด โดยในเชิงการตรวจสอบ ป.ป.ง. มีการตรวจสอบข้อมูลทั้ง KYC (Know Your Customer) และ CDD (Customer Due Diligence) ครบถ้วน

อย่างไรก็ตาม นพ.กฤชรัตน์ มองว่า ทิศทางราคาทองคำยังเป็นขาขึ้น แต่เมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.68) กองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุนทองคำรายใหญ่ กลับเข้าซื้อทองคำถึง 18 ตัน ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นเกือบแตะระดับ 3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จึงแนะนำให้นักลงทุนขายทำกำไรบางส่วน และรอเข้าซื้อใหม่เมื่อราคาปรับฐานลงมา โดยในระยะสั้น ราคาทองคำในประเทศน่าจะเข้าซื้อได้บริเวณ 55,100 บาทต่อบาททองคำ ส่วนราคาต่างประเทศอยู่ที่ราว 3,660 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

กกร. ผงะ! เจอต้นตอ“บาทแข็ง”ผิดปกติ โยงส่งออกทองไปกัมพูชาหมื่นล้าน หวั่นเอี่ยวธุรกิจสีเทา

Back to top button