
“ศุภจี” เล่าเบื้องหลัง “MOC ข้าว” ไทย-สิงคโปร์ ก้าวใหม่ยกระดับ “Food Security”
รมว.พาณิชย์ เปิดใจเบื้องหลัง “MOC ข้าวไทย-สิงคโปร์” ไม่ใช่แค่ข้อตกลงการค้า แต่คือก้าวใหม่ยกระดับ “ข้าวไทย” สู่เครื่องมือสร้าง “ความมั่นคงทางอาหาร” พร้อมขยายแนวคิดสู่สินค้าเกษตรอื่น
พิธีลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการค้าข้าว “MOC on Rice Trade” ฉบับแรก ระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และ สำนักงานอาหารสิงคโปร์ (Singapore Food Agency – SFA) เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ยกระดับ “ข้าวไทย” จากสินค้าเกษตร สู่ “เครื่องมือความมั่นคงด้านอาหาร” ของภูมิภาค

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดใจถึงบันทึกความร่วมมือฉบับนี้ว่า แม้จำนวนข้าวภายใต้ความร่วมมือจะดูไม่มากเพียง 100,000 ตัน แต่ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลสิงคโปร์ ลงนามในลักษณะ “รัฐต่อรัฐ” (G2G) เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารร่วมกัน
“เราไม่ได้เซ็นการขายข้าวแบบ ซื้อมาขายไปปกติ แต่เราเซ็นในลักษณะของการทำให้ข้าวเป็นความมั่นคงทางอาหารให้กับสิงคโปร์ คนที่เซ็นสัญญากับเรา ไม่ใช่กระทรวงการค้าเซ็นกัน แต่เป็นกระทรวงการค้าของไทยเซ็นกับกระทรวงที่ดูแลเรื่องความยั่งยืนของสิงคโปร์ เพราะสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงทางด้านอาหารมาก หรือ Food Security เป็นครั้งแรกที่เราทำแบบนี้ ก็จะเป็นการยกระดับให้สินค้าเกษตรของเราไม่ใช่เป็นเฉพาะวัตถุดิบ หรือเป็นสินค้าเกษตรทั่วไป แต่เป็นการให้ในเรื่องของความมั่นคงทางด้านอาหารให้กับประเทศที่เป็นพันธมิตรด้วย” รมว.พาณิชย์ กล่าว
นางศุภจี เปิดเผยถึงการเจรจากับทางสิงคโปร์ว่า “พอเราพูดเรื่องความมั่นคงทางอาหารมันเป็นหลักที่ทุกประเทศให้ความสนใจ โดยเฉพาะประเทศที่ไม่ได้ผลิตอาหารด้วยตัวเอง ดังนั้นมันเกิดอะไรขึ้นในโลกก็ได้ เช่น ภาวะภูมิอากาศก็ตาม ภาวะของภูมิรัฐศาสตร์ด้วยที่มีความไม่แน่นอน หรืออาจจะมีโรคระบาดอีก ดังนั้นถ้าเขาไม่ได้เป็นคนที่ผลิตอาหารได้เองเขาย่อมมีความเป็นกังวล พอเราเดินมาบอกว่าเรามีในเรื่องของอาหาร และเราตั้งใจจะให้ความมั่นคงทางอาหารกับเขา เขามีความสนใจอย่างยิ่ง ครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นที่ 1 แสนตันของข้าว วันนี้ยังมีการคุยต่อเนื่อง เรื่องเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมูสดไม่ใช่เฉพาะเนื้อหมูแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์เกษตรตัวอื่น ๆ อีกด้วย”

นางศุภจี ยังกล่าวถึงแผนแนวทางในอนาคตว่า ตอนนี้ทางกระทรวงพาณิชย์มีการดูข้อมูลในโลกนี้ว่า มีประเทศอะไรที่เป็นประเทศที่ต้องนำเข้าสินค้าเกษตร หรือว่าอาหาร เราก็มีความตั้งใจ มีเป้าหมายว่าเราจะพยายามที่จะนำเสนอคอนเซ็ปเดียวกันนี้ไปกับประเทศเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ บันทึกความร่วมมือดังกล่าวเป็นการลงนามระหว่าง กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ของไทย กับสำนักงานอาหารสิงคโปร์ (Singapore Food Agency – SFA) โดยมีนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ Ms. Grace Fu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมของสิงคโปร์ ลงนามฝ่ายละประเทศ ขณะเดียวกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย และนายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม
MOC ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และขยายความร่วมมือด้านการค้าข้าวระหว่างสองประเทศ โดยรัฐบาลไทยตกลงจำหน่ายข้าวให้รัฐบาลสิงคโปร์ในปริมาณสูงสุดไม่เกินปีละ 100,000 ตัน ตลอดระยะเวลา 5 ปี การซื้อขายจะดำเนินการตามหลักปฏิบัติทางการค้าสากลและราคาตลาดโลก ทั้งสองฝ่ายสามารถต่ออายุบันทึกความร่วมมือได้ตามความเห็นชอบร่วมกัน

กรมการค้าภายใน เปิดเผยข้อมูลว่า สิงคโปร์เป็นตลาดข้าวที่มีศักยภาพของไทย เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงอาหารจากข้อจำกัดของพื้นที่และทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกข้าวเพื่อบริโภคภายในประเทศได้ ส่งผลให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าข้าวเพื่อบริโภคและเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหาร การลงนามบันทึกความร่วมมือครั้งนี้จึงมีความสำคัญต่อการสร้างเสถียรภาพด้านอาหารของสิงคโปร์ และช่วยยืนยันบทบาทของไทยในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวคุณภาพสูงที่ตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศได้อย่างมั่นคงต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นในการแสดงให้เวทีโลกเห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยในการเป็น Food Security Hub ของภูมิภาค
สำหรับสถิติการส่งออกข้าวของไทยไปสิงคโปร์ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–กันยายน) ไทยส่งออกข้าวไปแล้ว 90,031 ตัน เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มีปริมาณ 85,742 ตัน โดยส่วนใหญ่เป็นข้าวหอมมะลิไทย 49.99% ข้าวขาว 29.04% และข้าวหอมไทย 16.26% ปัจจุบันไทยเป็นแหล่งนำเข้าข้าวอันดับ 3 ของสิงคโปร์ มีส่วนแบ่งตลาด 22.34% รองจากอินเดีย 42.82% และเวียดนาม 28.10%
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
“ไทย–สิงคโปร์” เซ็น 2 ข้อตกลง “ค้าข้าวจีทูจีแสนตัน–สาธารณสุขผู้สูงอายุ”

