
เช็กลิสต์! มาตรการเศรษฐกิจเสี่ยงสะดุด หากยุบสภาเร็วกว่ากำหนด
ถ้า “ยุบสภา” เร็วกว่ากำหนด มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายรายการมีความเสี่ยงจะเดินหน้าไม่ทันตามแผน รัฐ–เอกชน–ประชาชน ต่างจับตาว่า มาตรการใดจะทันอนุมัติก่อนรัฐบาลเข้าสู่ช่วงรักษาการ
สัญญาณการเมืองถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ “นายกหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ส่งข้อความชัดเจนว่า หากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ก็พร้อมยุบสภาทันทีตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นวันเปิดประชุมสภาฯ แม้กรอบเวลาที่ทุกฝ่ายรับรู้ร่วมกัน คือ การยุบสภาจะเกิดขึ้นวันที่ 31 มกราคม 2569

ประโยคนี้สั่นคลอนเสถียรภาพด้านนโยบายทันที เพราะหากเป็นไปตามที่นายกฯ อนุทิน ระบุจริง “การยุบสภาก่อนกำหนด” จะต้องเกิดขึ้นเร็วกว่ากรอบเดิมเกือบ 2 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลตั้งใจใช้ผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ก่อนยุบสภาและจัดการเลือกตั้ง ดังนั้น หากจังหวะการเมืองเร่งขึ้นจริง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า หลายมาตรการอาจสะดุดกลางคันและเดินหน้าไม่ทันตามแผนที่วางไว้
หลายโครงการยังอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ก่อนจะส่งต่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหญ่พิจารณา ขณะเดียวกัน หลายมาตรการไม่ได้จบแค่การอนุมัติในครม. แต่ต้องอาศัยขั้นตอนตามกฎหมาย งบประมาณ หรือประกาศกำกับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องใช้ “รัฐบาลเต็มอำนาจ” ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ ดังนั้น หากจังหวะการเมืองเร่งขึ้นจริง มาตรการหลายรายการย่อมมีความเสี่ยงว่าจะเดินหน้าไม่ทันกรอบเดิมที่วางไว้

รัฐบาลวางแผนผลักดัน ชุดมาตรการเศรษฐกิจปลายวาระ ครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มรายได้น้อย ผู้ค้า SMEs ภาคธุรกิจ นักลงทุน ไปจนถึงการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้า เป้าหมายเพื่อดันอุปสงค์ในประเทศ เสริมสภาพคล่อง และประคองแรงขับเคลื่อนการลงทุน ในจังหวะที่ตัวเลขเศรษฐกิจหลายด้านยังอ่อนแรง ทั้ง GDP ที่ขยายต่ำกว่าคาด การส่งออกที่ยังหดตัว และเงินเฟ้อพื้นฐานที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งสะท้อนว่ากำลังซื้อยังไม่ฟื้นอย่างเต็มที่
ฝั่งรายได้น้อย มาตรการช่วยเหลือผ่าน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เตรียม “เปิดลงทะเบียนรอบใหม่” หลังการเติมเงิน 1,700 บาทในเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม 2568 โดยกระทรวงการคลังตั้งเป้าสรุปหลักเกณฑ์ใหม่ภายในเดือนธันวาคมนี้
ส่วน คนละครึ่ง พลัส เฟส 2 ซึ่งเป็นมาตรการที่ประชาชน–ร้านค้า–ผู้ประกอบการรายย่อย ตั้งความหวังอย่างมาก ก็ยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของครม. ทำให้ไม่แน่ชัดว่าจะทันประกาศใช้หรือไม่ การเติมเงินให้ผู้ได้รับสิทธิเดิม 2,000 บาท และการให้ผู้ที่ไม่เคยได้รับสิทธิรับครั้งเดียว 4,000 บาท อาจต้องค้างอยู่ในชั้นเอกสาร หากรัฐบาลไม่เดินหน้าต่อเนื่อง

ฝั่งลูกหนี้รายย่อย มาตรการ ปิดหนี้ไว ไปต่อได้ ปรับโครงสร้างหนี้ต่ำแสนบาทผ่าน AMC ยังต้องรอเริ่มดำเนินการจริงในวันที่ 5 มกราคม 2569 เช่นเดียวกับ มาตรการของภาคธุรกิจ–SMEs ที่มุ่งคืนภาษีสรรพากรราว 40,000 ล้านบาท ซึ่งรองนายกฯ และ รมว.คลัง “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” อยู่ระหว่างการเตรียมเสนอเข้า ครม.เศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ รวมถึงแพ็กเกจช่วยผู้ประกอบการรายย่อยที่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด
ด้านการท่องเที่ยว มาตรการ เที่ยวดีมีคืน ที่ดำเนินจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ยังต้องรอความชัดเจนว่า จะมีการต่อยอดหรือไม่ โดยเฉพาะในจังหวะที่ไทยกำลังก้าวสู่ช่วงไฮซีซั่นสำคัญปลายปี
สำหรับนักลงทุน มาตรการ Fast Pass วงเงิน 300,000 ล้านบาท แม้เตรียมเสนอ ครม.เศรษฐกิจ ในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ แต่ยังต้องผ่าน ครม.ชุดใหญ่เพื่อเดินหน้าได้จริง รวมถึงแผนตั้งกองทุน TISA เพื่อจูงใจให้ประชาชนนำเงินออมเข้าลงทุนในตลาดทุน ก็ยังอยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอ
อีกมิติหนึ่งที่มีความอ่อนไหว คือ การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียด หลังจากเพดานภาษีนำเข้าราว 19% ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่รัฐบาลก่อน กระบวนการนี้ต้องอาศัยเสถียรภาพของรัฐบาลในการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ล่าสุดฝ่ายสหรัฐฯ มีหนังสือแจ้ง “ระงับการหารือไว้ก่อน” เนื่องจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ทำให้ความคืบหน้าช่วงปลายปีมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม รมว.พาณิชย์ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ย้ำว่า คณะทำงานไทยยังเดินหน้าในระดับเทคนิค และยังส่งสัญญาณไปยังสหรัฐฯ ว่าความร่วมมือจะช่วยลดภาระต้นทุนสินค้าเกษตรที่ผู้บริโภคอเมริกันกำลังแบกรับอยู่ ขณะเดียวกัน รัฐบาลตั้งใจผลักดันให้การเจรจาปิดจบภายในปีนี้ แต่หากมีการยุบสภาเร็วกว่ากำหนด กระบวนการทั้งหมดอาจถูกค้างคา และไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า จะกลับมาเดินหน้าได้เมื่อไร
นอกจากหน่วยงานรัฐที่ต้องชะลอการอนุมัติรายการใหม่จนกว่าจะมีความชัดเจนทางการเมือง โดยเฉพาะในส่วนที่ต้องใช้อำนาจคณะรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบในช่วงรัฐบาลรักษาการแล้ว ภาคเอกชนเองก็มักปรับพฤติกรรมทันทีเมื่อเกิดความเสี่ยงด้านนโยบาย โดยเฉพาะมาตรการที่เกี่ยวข้องกับสภาพคล่อง เช่น การคืนภาษี การลดภาระหนี้ หรือสิทธิประโยชน์บีโอไอ ขณะที่ประชาชนยังรอความชัดเจนเรื่องเงินช่วยเหลือ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมการจับจ่ายช่วงต้นปีหน้า
แม้ไทยจะมีรัฐบาลใหม่ภายในปีหน้า แต่ช่วงรอยต่อระหว่าง “ยุบสภา–ตั้งรัฐบาลใหม่” คือช่วงที่มาตรการหลายรายการต้องหยุดหรือเดินหน้าได้ไม่เต็มรูปแบบ และในปีที่เศรษฐกิจโลกหมุนเร็ว ความล่าช้าเพียงไม่กี่เดือนอาจสร้างความต่างอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจไทยที่ยังต้องการแรงเสริม
นี่คือช่วงเวลาที่ “ความต่อเนื่องของนโยบาย” ไม่ใช่เพียงความได้เปรียบ แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญของเสถียรภาพโดยรวมของประเทศ

