ศูนย์วิจัยกสิกร ชี้น้ำท่วมสงขลา ฉุดเศรษฐกิจ–สะเทือนซีเกมส์ เสียหายไม่ต่ำ 2.5 หมื่นลบ.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินวิกฤติน้ำท่วมหลายจังหวัดภาคใต้ “สงขลา” หนักสุด กระทบเศรษฐกิจหนัก ฉุดกิจกรรมบริการ–อุตสาหกรรม ความเสียหายเบื้องต้น 2.5 หมื่นล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (26 พ.ย.68) เวลา 09:33 น. ประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กทางการ ระบุว่า “ตัวเมืองหาดใหญ่ระดับน้ำเริ่มลดลงบ้างแล้ว”
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินผลกระทบอุทกภัยภาคใต้ครั้งนี้ใน 2 มิติหลัก โดยส่วนแรกเป็นผลกระทบทันทีจากการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถวัดมูลค่าได้ชัดเจนกว่า
ส่วนที่สองเป็นความเสียหายต่อสินทรัพย์ของครัวเรือนและภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งกระบวนการฟื้นฟูและรับรู้ความเสียหายจะทยอยเกิดขึ้นในระยะถัดไป และต้องพิจารณาร่วมกับปัจจัยด้านรายได้ เงินออม และความช่วยเหลือจากรัฐและสถาบันการเงิน
สำหรับผลกระทบทันที ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เศรษฐกิจอาจเสียหายไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาทภายในกรอบเวลา 1 เดือน คิดเป็นราว 0.13% ของมูลค่าเศรษฐกิจไทย (Nominal GDP) โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ความรุนแรงของสถานการณ์ในช่วง 10–15 วันแรกอยู่ในระดับสูง และทยอยลดลงในช่วง 10–15 วันหลัง ซึ่งจังหวัดสงขลา เป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คิดเป็นราว 75–80% ของมูลค่าความเสียหายรวม
ผลกระทบหลักมาจาก การหยุดชะงักของภาคบริการ เช่น สถานที่พักแรม ร้านอาหาร ค้าปลีก และขนส่ง ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 56% ของโครงสร้างเศรษฐกิจจังหวัดสงขลา รวมถึง ภาคการผลิตและอุตสาหกรรมเกษตร–อาหารแปรรูป ที่มีสัดส่วนอีกประมาณ 18% ขณะเดียวกันยังพบผลกระทบต่อระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ทั้งไฟฟ้าและประปาในบางพื้นที่ ซึ่งคิดสัดส่วนราว 3% ของเศรษฐกิจจังหวัด
สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้น เพราะเกิดในช่วงปลายปีซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น และเป็นช่วงที่ไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ระหว่างวันที่ 9–20 ธันวาคม 2568 โดยจังหวัดสงขลาเป็นหนึ่งในเมืองเจ้าภาพและมีสนามแข่งขันหลายประเภทกีฬา ทำให้การหยุดชะงักของกิจกรรมบริการและคมนาคมยิ่งสร้างแรงกดดันต่อภาคเศรษฐกิจในพื้นที่
นอกจากสงขลาแล้ว พื้นที่จังหวัดอื่นในภาคใต้ ยังได้รับผลกระทบในภาคเกษตร โดยเฉพาะแปลงเพาะปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมัน รวมถึงกิจกรรมเลี้ยงสัตว์น้ำและประมง ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูทั้งระบบ
ในส่วนของผลกระทบระยะฟื้นตัว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุด้วยว่า เมื่อระดับน้ำเริ่มลดลง ประชาชนจำเป็นต้องเผชิญต้นทุนความเสียหายของสินทรัพย์ เช่น อาคาร ที่อยู่อาศัย รถยนต์ และข้าวของเครื่องใช้ ซึ่งการฟื้นฟู ซ่อมแซม หรือการซื้อใหม่ จะทยอยเกิดขึ้นตามความสามารถของแต่ละครัวเรือน และขึ้นอยู่กับมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ สถาบันการเงิน และคู่ค้าต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจ
