คลัง–ก.ล.ต. ชี้ “TISA” หนุนออมระยะยาว เพิ่มช่องลงทุนหุ้นรายตัว–ยกเลิกเพดาน 30%

กระทรวงการคลัง–ก.ล.ต. เดินหน้าโครงสร้าง “TISA” มาตรการออมถาวร เพิ่มช่องลงทุนหุ้นรายตัว พร้อมยกเลิกเพดาน 30% เตรียมชง ครม. สัปดาห์หน้า ก่อนออกเกณฑ์คัดเลือกหลักทรัพย์และระบบแอปฯ บริหารบัญชี


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (11 ธ.ค. 68) ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมแถลงรายละเอียดมาตรการเพิ่มการออมของประชาชน ภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” เสาที่ 4 ของรัฐบาล

โดยมาตรการที่ได้รับความสนใจสูง คือ โครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล (TISA) ซึ่งได้รับการเห็นชอบในหลักการจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างการเตรียมนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดในสัปดาห์หน้า

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ที่ผ่านมามาตรการจูงใจภาษี เช่น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) เป็นมาตรการชั่วคราว ต้องต่ออายุเป็นระยะ และสร้างความบิดเบือนต่อระบบออมและตลาดทุน ผู้ถือ LTF จำนวนมากเคยขาดทุน 25–30% ขณะที่รัฐสูญเสียรายได้ภาษีจำนวนมาก

รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า TISA ถูกออกแบบให้เป็นมาตรการถาวร วงเงินลดหย่อนภาษี 800,000 บาทต่อปี พร้อมตัวคูณส่งเสริมด้าน ESG อัตรา 1.2 เท่า เพื่อสร้างวินัยการออมระยะยาว และแก้ปัญหาข้อจำกัดเดิม เช่น การยกเลิกเพดาน 30% ของรายได้ นอกจากนี้ ยังปรับเกณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญให้ยืดหยุ่นขึ้น และปรับรูปแบบการออกรัฐพันธบัตร “ออมพลัส” ให้เปิดขายทุกเดือน เพื่อเพิ่มทางเลือกการออมที่มั่นคงรองรับสังคมสูงวัย

ขณะที่ นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า TISA จะเสริมโครงสร้างการออมและการลงทุนระยะยาวในตลาดทุนไทย โดยมิติตลาดทุน เงินลงทุน เงินหมุนเวียน และการระดมทุนของบริษัทขนาดใหญ่เป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจ ขณะที่บทบาทของกองทุน Thai ESG จะค่อย ๆ ลดลงตามการลดทอนสิทธิประโยชน์ภาษี

ภายใต้บัญชี TISA ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยง ทั้ง RMF, Thai ESG, กองทุนรวมใหม่ที่ผ่านเกณฑ์คลัง–ก.ล.ต. และหุ้นรายตัวที่ผ่านเกณฑ์ด้านความปลอดภัยของ ก.ล.ต. โดยหุ้นรายตัวจะมีช่วงเวลาถือครอง (lock period) เพื่อให้เป็นการออมระยะยาว สามารถสลับสินทรัพย์ได้ตามกรอบเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ ยังสามารถซื้อหุ้นให้บุตรอายุต่ำกว่า 20 ปีได้วงเงินปีละ 200,000 บาท โดยเงินปันผลได้รับการยกเว้นภาษีทั้งหมด

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต. ได้หารือกับกระทรวงการคลังเพื่อออกแบบ TISA ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย แม้โครงการจะยังรอเสนอ ครม. แต่ในหลักการจะยกเลิกเพดาน 30% และเปิดโอกาสการลงทุนที่กว้างขึ้น โดยการคัดเลือกหลักทรัพย์เข้าร่วมบัญชี TISA จะพิจารณาหุ้นทั้งในกระดาน SET และ mai ที่เข้าเกณฑ์ ESG และมีประวัติการจ่ายเงินปันผล ไม่จำกัดเฉพาะหุ้น SET50

ผู้ลงทุนที่เข้าร่วมโครงการต้องบริหารบัญชีผ่านแอปพลิเคชันที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ ก.ล.ต. พัฒนาร่วมกัน หากลงทุนในหุ้นต้องเปิดบัญชี Cash Balance Account เนื่องจาก TISA ไม่อนุญาตให้ใช้ “บัญชีมาร์จิ้น” และยังคงใช้หลักเกณฑ์การซื้อขายหุ้นตามปกติ ผู้ลงทุนยังได้รับสิทธิยกเว้นภาษีดอกเบี้ย เงินปันผล และกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gains) 200,000 บาทแรก และใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในกรอบ 800,000 บาท โดยโครงการมี “กลไก Pledging” รองรับสภาพคล่องในกรณีจำเป็น ซึ่งรายละเอียดต้องรอการพิจารณาของ ครม.

ด้าน นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า TISA จะช่วยสนับสนุนมาตรการไมโครอินชัวรันส์ และเพิ่มศักยภาพการลงทุนของบริษัทประกันภัย โดยประเมินว่าจะช่วยให้บริษัทประกันภัยสามารถขยายการลงทุนได้ราว 100,000 ล้านบาทต่อปี จากผลของการลดค่าความเสี่ยงของสินทรัพย์

แจงตัวคูณ 1.3–0.7 ยังเป็นเพียงโมเดลจำลอง

นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมี 53 จังหวัดเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้รัฐบาลต้องเร่งผลักดันมาตรการออมระยะยาว โดยคาดว่ารายละเอียดทั้งหมดของ TISA จะมีความชัดเจนภายในสิ้นปี 2568 และระบบจะสามารถใช้งานได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2569 เป็นต้นไป

นายเบญจรงค์ ระบุว่า ข้อมูลตัวคูณ 1.3 และ 0.7 ที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้ เป็นเพียง “ตุ๊กตา” หนึ่งในหลายโมเดลที่ทีมงานใช้จำลองผลกระทบ ทั้งด้านพฤติกรรมการออมและฐานรายได้ของผู้เสียภาษี ข้อมูลดังกล่าวยังไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้าย เนื่องจากมาตรการอยู่ระหว่างการกลั่นกรองในชั้นคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ซึ่งเห็นชอบเฉพาะในหลักการเท่านั้น จึงขอให้ประชาชนรอความชัดเจนเพิ่มเติม

ผู้ช่วย รมว.คลัง กล่าวว่า ทีมงานได้พิจารณาทั้งโมเดล Tapering และตัวคูณหลายชุดควบคู่กัน ไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง และด้วยความที่มาตรการนี้จะมีผลต่อพฤติกรรมการออมทันทีในปีหน้า จึงจำเป็นต้องสรุปให้ได้ภายในปี 2568 เพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนการลงทุนปีใหม่ได้อย่างเหมาะสม โดยขณะนี้เหลือเวลาเพียง 1–2 สัปดาห์ ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ทันก่อนสิ้นเดือนธันวาคม

สำหรับฐานรายได้ 1.5 ล้านบาทที่ใช้ในการคำนวณตัวคูณลดหย่อน นายเบญจรงค์ ชี้แจงว่า เป็นเพียงหนึ่งในโมเดลจากงานวิจัยที่ใช้ประเมินผลกระทบ โดยฐานดังกล่าวครอบคลุมผู้ยื่นแบบภาษีประมาณ 96% ของประเทศ ถือเป็นฐานใหญ่ แต่ยังไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้าย และยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นเพิ่มเติม

Back to top button