TEGH ติดโผเข้าดัชนี “ชารีอะห์” ปักธงรายได้ปีนี้โตกว่า 30%

TEGH ได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณ "FTSE SET Shariah Index" ปักหมุดปี 67 อัพกำลังการผลิตยางแท่งแตะ 430,000 ตัน หวังขึ้นแท่นรายใหญ่ Top 5 ของไทย


นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ประกาศผลการคัดเลือกหลักทรัพย์ในดัชนี FTSE SET Index Series สำหรับรอบทบทวนเดือนธันวาคม 2565 โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค.2565  เป็นต้นไป ซึ่ง TEGH เป็นบริษัทที่ได้รับคัดเลือกและจัดอยู่ในกลุ่ม ดัชนี FTSE SET Shariah Index ซึ่งมีจำนวน 18 หลักทรัพย์ใหม่ที่ได้รับคัดเลือกในครั้งนี้

การที่ TEGH ได้มีโอกาสเข้าคำนวณในดัชนี FTSE จะทำให้กองทุนทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจลงทุนเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ผู้ลงทุนยอมรับ รวมทั้งเพิ่มความมั่นใจสำหรับการลงทุน ซึ่งเกณฑ์การคัดเลือก จากเกณฑ์โครงสร้างทางการเงินนั้นค่อนข้างที่จะเข้มงวด ทำให้ตอกย้ำและสามารถมั่นใจได้ว่าบริษัทฯมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งภาระหนี้สินต่ำ และสามารถดำเนินธุรกิจได้ด้วยตนเอง ตรงนี้ก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นการลงทุนมากขึ้น” นางสาวสินีนุช กล่าว

อนึ่งดัชนี FTSE SET Shariah Index คัดเลือกหลักทรัพย์จากดัชนี FTSE SET All-Share และผ่านการคัดเลือกตามหลักศาสนาอิสลาม ดัชนีนี้พัฒนาขึ้นเพื่อผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่ประสงค์จะลงทุนตามหลักศาสนาอิสลาม ดัชนีนี้สามารถนำไปใช้อ้างอิงในการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ เช่น กองทุนรวม กองทุน ETFs และตราสารที่ใช้ดัชนีอ้างอิง (Index-linked products)

สำหรับเกณฑ์การคำนวน และคัดเลือกหลักทรัพย์จาก FTSE SET All-Share Index โดยจะคัดเลือกหลักทรัพย์ตามหลักศาสนาอิสลาม ดังนี้ คือ เกณฑ์การดำเนินธุรกิจ บริษัทที่ดำเนินธุรกิจดังต่อไปนี้จะถูกคัดออกจากการคำนวณ ได้แก่ 1.ธนาคาร สถาบันการเงินหรือประกันภัยที่ไม่ได้ดำเนินธุรกิจตาม หลักศาสนาอิสลาม 2.ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ 3.ธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับสุกร 4.ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบันเทิง ประกอบด้วย คาสิโน การพนัน โรงภาพยนตร์ ดนตรี สื่อลามก และโรงแรม 5. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยาสูบ 6.ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือจำหน่ายอาวุธ

ส่วนเกณฑ์โครงสร้างทางการเงิน ดังนี้ 1.ส่วนของหนี้ต้องน้อยกว่า 33% ของสินทรัพย์รวม 2.ส่วนของเงินสดและดอกเบี้ย ต้องน้อยกว่า 33% ของสินทรัพย์รวม 3.สัดส่วนของบัญชีลูกหนี้และเงินสด ต้องน้อยกว่า 50% ของสินทรัพย์รวม 4.ดอกเบี้ยรวม และรายได้อื่นๆที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม ไม่ควรเกินกว่า 5% ของรายได้รวม

นอกจากนี้บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตยางแท่งมาอยู่ประมาณ 430,000 ตันในปี 2567 จากกำลังการผลิตปัจจุบัน 320,000 ตัน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตยางแท่ง Top 5 ของประเทศไทย พร้อมมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้น่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากปีก่อนที่มีรายได้ 11,087.76 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีรายได้แล้ว 11,807.97 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 45.73% จากช่วงปีก่อน

Back to top button