SEAFCO โบรกฯมองมีความเสี่ยงมากขึ้นจากเล็งทบทวนเป้ารายได้ปีนี้ลงแต่แนะซื้อ

SEAFCO โบรกฯมองมีความเสี่ยงมากขึ้นจากเล็งลดเป้ารายได้ปีนี้ลง แม้แนะซื้อแต่ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาดีเริ่มมีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐานน้อยลงเป็น 8% โดยราคาพื้นฐานประเมินด้วย P/E ปี 58 ที่ 14 เท่า ดังนั้นทางด้านกลยุทธ์แนะนำ รอซื้อเมื่ออ่อนตัวจะดีกว่า เพราะบริษัทมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะทำไม่ได้ตามเป้าหมาย แต่ต้องติดตามว่าจะได้รับงานใหม่ได้มากน้อยเพียงไร ลักษณะงานให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นหรือไม่


บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (25 มิ.ย.) ว่า บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เล็งทบทวนเป้าหมายรายได้ปีนี้ใหม่ จากเดิมที่คาดว่ารายได้จะเติบโตราว 15% หลังปิดงบไตรมาส 2/58 เนื่องจากไตรมาสแรกปีนี้ส่งมอบงานได้น้อย จึงต้องรอดูผลงานในไตรมาส 2 ก่อน ขณะที่บริษัทรอลุ้นผลประมูลงานในเมียนมาร์หลังจากได้ยื่นประมูลงานใหม่มูลค่าเกือบ 200 ล้านบาท คาดจะรู้ผลในราวเดือนก.ค.นี้ และเตรียมเข้าประมูลงานเสาเข็มในประเทศอีกกว่า 2 พันล้านบาทในไตรมาส 3/58 ด้วย

ช่วงไตรมาส 1/58 บริษัทส่งมอบงานไม่ได้ตามเป้าที่วางไว้ คือ ทุกๆไตรมาสจะต้องส่งมอบงานได้ 500 ล้านบาท แต่ไตรมาสแรกเราส่งมอบงานได้เพียง 480 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2/58 ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาส่งมอบงานไปแล้วรวมกัน 300 ล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ(Backlog) ประมาณ 970 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้เกือบทั้งหมดภายในปีนี้

ผลกระทบ: เป็นลบ เพราะอาจจะมีโอกาสปรับประมาณการรายได้ปีนี้ลงได้ ถือเป็น downside หากนำงานก่อสร้างในมือรวมกับรายได้ที่บันทึกใน ไตรมาส 1/58 ที่ 481 ล้านบาท รวมเป็น 1,451 ล้านบาท คิดเป็น 67% จากประมาณการรายได้ปีนี้ที่ 2,170 ล้านบาท ถือว่าภายในปีนี้จะต้องหางานก่อสร้างใหม่ที่จะมาเติมเต็มรายได้ให้ทัน อีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าคือ อัตรากำไรขั้นต้น เพราะในประมาณการเราให้อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้เป็น 20.6% เท่ากับปี 57 แต่ ไตรมาส 1/58 เป็นเพียง 13.9% ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากงานที่คิดเฉพาะค่าแรงมีสัดส่วนน้อยลง (งานที่คิดเฉพาะค่าแรงมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่างานที่รวมค่าวัสดุก่อสร้าง) หากใน ไตรมาส 2/58 ยังมีอัตรากำไรขั้นต้นที่น้อยอีก ก็อาจจะต้องปรับสมมุติฐานเกี่ยวกับอัตรากำไรขั้นต้นให้ลดลงด้วย

คำแนะนำ: ปัจจุบันเป็น ซื้อ แต่ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาดีเริ่มมีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐานน้อยลงเป็น 8% โดยราคาพื้นฐานประเมินด้วย P/E ปี 58 ที่ 14 เท่า ดังนั้นทางด้านกลยุทธ์แนะนำ รอซื้อเมื่ออ่อนตัวจะดีกว่า เพราะบริษัทมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะทำไม่ได้ตามเป้าหมาย แต่ต้องติดตามว่าจะได้รับงานใหม่ได้มากน้อยเพียงไร ลักษณะงานให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นหรือไม่

Back to top button