SAMART ได้บริษัทลูกหนุนราคาหุ้นระยะยาวปัจจัยบวกเพียบ-ซื้อเป้า 25 บ.

โบรกฯได้มีการปรับประมาณการในส่วนของ SAMTEL เพิ่มในงวดปี 59 ในอัตรา 5.7% ขณะที่ปี 58 ไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อสะท้อนรายได้ที่จะเกิดขึ้นสม่ำเสมอ (recurring income) ในส่วนงานที่มี AOT เป็นเจ้าของงาน โดยเป็นงานประเภท Advanced Processing System (APPS) ระยะเวลาสัญญา 5 ปี ซึ่งได้มีการลงนามในสัญญามาตั้งแต่ ก.ค.58 คาดว่ารายได้ปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 738 ล้านบาท จากงานนี้ สรุปคือ ช่วยเพิ่มกำไรให้กับ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART ในปี 59 ได้อีก 5% คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานเท่ากับ 25.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธีส่วนคิดลดกระแสเงินสดสุทธิ (DCF) แต่ยังไม่ได้รวมหลายโครงการที่มีศักยภาพ


บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (25 ก.ย.) ว่า โบรกฯได้มีการปรับประมาณการในส่วนของ SAMTEL เพิ่มในงวดปี 59 ในอัตรา 5.7% ขณะที่ปี 58 ไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อสะท้อนรายได้ที่จะเกิดขึ้นสม่ำเสมอ (recurring income)

ในส่วนงานที่มี AOT เป็นเจ้าของงาน โดยเป็นงานประเภท Advanced Processing System (APPS) ระยะเวลาสัญญา 5 ปี ซึ่งได้มีการลงนามในสัญญามาตั้งแต่ ก.ค.58 คาดว่ารายได้ปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 738 ล้านบาท จากงานนี้  สรุปคือ ช่วยเพิ่มกำไรให้กับ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART  ในปี 59 ได้อีก 5%

คาดว่าข่าวดีของ SAMTEL จะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นได้ในระยะสั้นนี้ เนื่องจากความล่าช้าในงานภาครัฐ บริษัทมีการลงนามในสัญญาเพียง 1.9 พันล้านบาท แต่คาดว่าในครึ่งหลังปี 58 จะลงนามในสัญญาได้เพิ่มถึง 11.5 พันล้านบาท

ทั้งนี้มาถึง ส.ค.58 ได้เพิ่มมาแล้ว 6.3 พันล้านบาท ดังนั้นจึงคาดว่ารายได้ในงวดครึ่งหลังปี 58  ของ SAMTEL จะดีขึ้นมาก (+63% h-o-h) เราคาดว่างานในมือ (Backlog) ปลายปีนี้จะสูงไปถึง 10 พันล้านบาท  ณ ปลายปีนี้ ซึ่งสัดส่วน 60% จะสามารถรับรู้รายได้ในปีหน้า

อย่างไรก็ตามในส่วนธุรกิจ SIM กลับปรับกำไรลง เพราะได้รับผลกระทบจาก 1) เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลง และ 2) การจำหน่ายโทรศัพท์ราคาถูกประเภท house brand  โดยผู้ประกอบการโครงข่ายมือถือ เราจึงปรับลดยอดจำหน่ายปีนี้ลงเป็น 3.7 ล้านเครื่องจากเดิมที่ 4 ล้านเครื่อง ส่วนอัตรากำไรการขายโทรศัพท์ลดลง 0.5% เป็น 18% จึงส่งผลให้ปรับลดกำไรในส่วน SIM ลง 29% และกลุ่มลง 6.7% สำหรับงวดปี 58 นี้

คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานเท่ากับ 25.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธีส่วนคิดลดกระแสเงินสดสุทธิ (DCF) แต่ยังไม่ได้รวมหลายโครงการที่มีศักยภาพ เช่น 1) การนำ iSPORT ที่ทาง SAMARTถือหุ้น 50% มาจดทะเบียนในตลาดฯปีหน้า 2) โครงการวางสายไฟใต้ดินของ กทม. ที่จะประมูลในช่วงไตรมาส 4/58-ไตรมาส 1/59  3) การ COD โรงไฟฟ้าพลังงานขยะจำนวน 4-6 โรง โรงละ 8 MW เป็นประมาณปี 60 และ 4) การลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่กัมพูชา กำลังการผลิต 2000 MW

 

Back to top button