“บล.ดาโอ” เชียร์ซื้อ MINT ชูแผนตั้ง REIT-IPO ไมเนอร์ฟู้ด หนุนกำไร เคาะเป้า 28 บาท

บล.ดาโอ ประเมิน MINT บวกเล็กน้อย หลังประชุมนักวิเคราะห์ ชี้แผนจัดตั้ง REIT นำธุรกิจไมเนอร์ ฟู้ด IPO และซื้อหุ้นคืน หนุนรายได้-กำไรเติบโตต่อเนื่อง พร้อมปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” แม้แรงกดดัน MSCI ใกล้มีผล 24 พ.ย.นี้


บริษัท ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินสถานการณ์ของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เป็นบวกเล็กน้อยจากการประชุมนักวิเคราะห์ เนื่องจากบริษัทมีแผนจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) การนำธุรกิจไมเนอร์ ฟู้ด (Minor Food) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) เพื่อช่วยลดภาระหนี้ และมีการเตรียมพิจารณาซื้อหุ้นคืนเพื่อสนับสนุนราคาหุ้น โดยผู้บริหารยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในช่วงสามปี (ปี 2568–2570) ไว้ที่ระดับ High-single digit CAGR ซึ่งนักวิเคราะห์คาดราว 5% ต่อปี ขณะที่กำไรคาดว่าจะเติบโต 15–20% CAGR ซึ่งนักวิเคราะห์คาด 11% ต่อปี

สำหรับตัวชี้วัดสำคัญด้านการดำเนินงาน RevPAR ในไตรมาส 4/2568 ผู้บริหารคาดว่ายุโรปจะเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานไตรมาส 4/2567 ที่เติบโตร้อยละ 8 ส่วนไทยคาดเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากฐานร้อยละ 4 ในปีก่อน

ขณะที่มัลดีฟส์ยังคงมีแนวโน้มเติบโตในระดับเลขสองหลักจากฐานที่ลดลงร้อยละ 26 ในปีก่อน ส่วน SSSG ในไทยคาดทรงตัวจากปีก่อน เมื่อเทียบกับฐานลดลงร้อยละ 0.5 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมจัดตั้ง REIT และคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2-3/2569 โดยมีแผนนำกองทรัสต์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะนำธุรกิจไมเนอร์ ฟู้ด เข้าจดทะเบียนเพื่อปลดล็อกมูลค่าและช่วยลดภาระหนี้ แม้ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมในขณะนี้ อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาการซื้อหุ้นคืน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้นในอนาคต

บล.ดาโอ ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2568 ที่ 9.25 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปีก่อน จากการฟื้นตัวในทุกประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมในยุโรปและมัลดีฟส์ ขณะเดียวกันคาดว่ากำไรปกติในไตรมาส 4/2568 จะเพิ่มขึ้นทั้งเมื่อเทียบกับปีก่อนและเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ตามฤดูกาลท่องเที่ยวในไทยและมัลดีฟส์ รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยจ่ายที่ยังลดลงได้ดี

อย่างไรก็ดี บล.ดาโอ ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” สำหรับหุ้น MINT แต่ยังคงราคาเป้าหมายปี 2569 ไว้ที่ 28.00 บาท โดยอ้างอิงวิธีประเมินมูลค่าด้วยกระแสเงินสดลดค่า (DCF) ใช้อัตราคิดลดเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (WACC) ที่ 7% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 1.5% ทั้งนี้ หุ้นซื้อขายที่ระดับค่า PER ราว 13 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน เช่น บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL และบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ขณะที่แรงกดดันจากการถูกถอดออกจากดัชนี MSCI ใกล้ถึงวันมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 พฤศจิกายน

Back to top button