อันดับความน่าเชื่อถือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (2 พ.ค.68) ว่า ณ เวลา 11:49 น. ราคาหุ้น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL อยู่ที่ระดับ 139.00 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 0.71% สูงสุดที่ระดับ 140.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 138.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 740.60 ล้านบาท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK อยู่ที่ระดับ 158.50 บาท ลบ 1.00 บาท หรือ 0.63% สูงสุดที่ระดับ 161.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 157.50 ล้านบาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,277.41 ล้านบาท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB อยู่ที่ระดับ 21.70 บาท ลบ 0.10 บาท หรือ 0.46% สูงสุดที่ระดับ 21.90 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 21.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 639.15 ล้านบาท บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB อยู่ที่ระดับ 118.50 บาท ลบ 0.50 บาท หรือ 0.42% สูงสุดที่ระดับ 120.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 118.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 762.82 ล้านบาท ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB อยู่ที่ระดับ 1.81 บาท ลบ 0.02 บาท หรือ 1.09% สูงสุดที่ระดับ 1.83 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 253.34 ล้านบาท ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP อยู่ที่ระดับ 47.25 บาท ลบ 2.75 บาท หรือ 5.50% สูงสุดที่ระดับ 48.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 47.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 233.80 ล้านบาท บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO อยู่ที่ระดับ 98.00 บาท ลบ 0.25 บาท หรือ 0.25% สูงสุดที่ระดับ 98.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 97.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 100.86 ล้านบาท สำหรับราคาหุ้นปรับตัวลงมา สาเหตุจาก “มูดี้ส์ เรทติ้งส์” (Moody’s Ratings) ได้ปรับลดมุมมอง (outlook) ความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินไทย 7 แห่งเป็นลบ (negative) จากคงที่ (stable) ได้แก่ BBL, ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ EXIMT, KBANK, KTB, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), SCBX และ TTB ทั้งนี้ Moody’s ระบุว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจาก Moody’s ปรับลดมุมมองแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือสำหรับรัฐบาลไทยจาก Stable มาที่ Negative แม้ว่าจะยังคงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ระดับเดิม โดยอันดับเครดิตสำหรับ Issuer และ Local Currency Senior Unsecured Ratings ของรัฐบาลไทยยังคงอยู่ที่ระดับ Baa1 เช่นเดียวกับ Foreign Currency Commercial Paper Rating ที่ยังคงอยู่ที่ระดับ P-2 โดยการปรับลดนี้ สะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศไทยที่อ่อนแอลงอีก ท่ามกลางภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของโลกที่เพิ่มมากขึ้น ภูมิหลังทางเศรษฐกิจมหภาคที่เสื่อมถอยลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโปรไฟล์เครดิตของธนาคารไทย ซึ่งประสบปัญหาอยู่แล้วจากการเติบโตของสินเชื่อและปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ที่ด้อยลงจากการระบาดของไวรัสโคโรนา นอกจากนี้ยังอาจทำให้รัฐบาลไทยไม่สามารถให้การสนับสนุนธนาคารต่างๆ เมื่อจำเป็นได้ “หากอันดับเครดิตของประเทศไทยถูกปรับลด จะส่งผลให้สถาบันการเงินของไทยทั้ง 7 แห่งที่กล่าวถึงข้างต้นได้รับการปรับลดอันดับไปด้วย เนื่องจากสถาบันรับฝากเงินระยะยาวและ/หรือผู้ออกตราสารเหล่านี้มีการสนับสนุนจากรัฐบาลเพิ่มขึ้น และ/หรือ อยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตของประเทศ” มูดี้ส์ กล่าว