เศรษฐกิจไทย 2025

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินภาพรวมกลุ่มค้าปลีกไทยกำลังเผชิญสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ท้าทายอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวชัดเจน กำลังซื้อของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ อันมีสาเหตุหลักจากภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง ประกอบกับแรงกดดันจากมาตรการทางการค้าโลก โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2025 ลงมาเหลือเพียง 2.0% จากเดิมที่ 2.8% สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจที่ซบเซากว่าคาด ซึ่งส่งผลกดดันต่อยอดขายสาขาเดิม (Same-Store Sales Growth: SSSG) ของกลุ่มค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง แม้จะเริ่มฟื้นตัวหลัง COVID-19 แต่แนวโน้มยังไม่สดใส ทั้งนี้ กลุ่มค้าปลีกที่เน้นสินค้าจำเป็น เช่น อาหารและของใช้ในชีวิตประจำวัน ยังคงรักษาระดับยอดขายได้ดีกว่ากลุ่มอื่นท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทในกลุ่มนี้ เช่น CPALL และ CPAXT จึงยังสามารถรักษาแนวโน้ม SSSG ในทิศทางบวกได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว กลุ่มนี้มักจะเติบโตน้อยกว่ากลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ในทางตรงกันข้าม กลุ่มค้าปลีกสินค้าทนทานและแฟชั่น เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ และเสื้อผ้า ซึ่งไม่ใช่สินค้าจำเป็น มักจะได้รับผลกระทบรุนแรงในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคมีแนวโน้มชะลอการใช้จ่าย ทำให้บริษัทอย่าง HMPRO, DOHOME และ ILM อาจเผชิญกับการหดตัวของ SSSG เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้จะมีโอกาสรีบาวด์แรงในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวก็ตาม กลยุทธ์ที่สำคัญของบริษัทค้าปลีกในการประคองรายได้ในช่วงนี้ คือการขยายสาขาเพื่อเพิ่มยอดขายรวมและวางรากฐานรองรับการฟื้นตัวของยอดขายในอนาคต ขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษายน 2568 ยังคงลดลงต่อเนื่อง สะท้อนความกังวลด้านเศรษฐกิจ ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ นักท่องเที่ยวลดลง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และภาระหนี้ครัวเรือนที่กดดันการจับจ่ายอย่างชัดเจน ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ท้าทายเช่นนี้ บล.ฟิลลิปยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่มีความแข็งแกร่งและมีแนวโน้มรักษาการเติบโตได้ ได้แก่ CPALL ราคาเป้าหมาย 72.00 บาท,CPAXT ราคาเป้าหมาย 31.50 บาท,CRC ราคาเป้าหมาย 32.00 บาท,HMPRO ราคาเป้าหมาย 9.15 บาท,ILM ราคาเป้าหมาย 25.00 บาท ขณะที่แนะนำ “ขาย” หุ้น DOHOME โดยให้ราคาเป้าหมายเพียง 2.12 บาท