แลนด์มาร์คใหม่

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เตรียมเปิดตัวศูนย์การค้าแห่งใหม่ “Central Park” อย่างเป็นทางการในวันที่ 4 กันยายน 2568 ซึ่งถือเป็นศูนย์การค้าลำดับที่ 43 ของเครือ และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมิกซ์ยูส “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่า 46,000 ล้านบาท ที่ผสานศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม และที่พักอาศัยเข้าด้วยกัน ภายใต้แนวคิด “Here for All of You” เพื่อยกระดับศักยภาพกรุงเทพฯ สู่มหานครระดับโลกและสร้างนิยามใหม่ของการใช้ชีวิตคนเมือง ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด CPN เปิดเผยว่า “เซ็นทรัล พาร์ค” คือประวัติศาสตร์บทใหม่ของวงการค้าปลีกไทย ที่เกิดจากวิสัยทัศน์ “Design for the Future with Respect for Legacy” ซึ่งผสานพื้นที่สีเขียวเข้ากับวิถีชีวิตคนเมืองอย่างกลมกลืน เปรียบได้กับ “Central Park” ในนิวยอร์กหรือ “Hyde Park” ในลอนดอน โดยจุดเด่นคือ Roof Park ขนาด 7 ไร่ สวนลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เชื่อมต่อกับสวนลุมพินี และมอบมุมมองพาโนรามา 180 องศาใจกลางกรุงเทพฯ ด้าน คุณายุธ เดชอุดม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสินทรัพย์ เซ็นทรัล พาร์ค CPN กล่าวเสริมว่า ศูนย์การค้าแห่งนี้ไม่ใช่เพียง One-stop Shopping แต่ถูกออกแบบให้เป็น “Curated Platform for Diverse Urban Communities” ที่ตอบโจทย์ Well-being, Diversity, Community และ Sustainability พร้อมสร้างสุนทรียภาพการใช้ชีวิตที่ครบทุกมิติ ผ่านร้านอาหารระดับโลก กิจกรรมศิลปะ แฟชั่น และ Curated Happening ตลอดทั้งปี ทำให้เซ็นทรัล พาร์คกลายเป็น “The Future of Lifestyle” ของกรุงเทพฯ อย่างแท้จริง โดยโครงการดังกล่าวนำเสนอ 4 ไฮไลต์สำคัญ ได้แก่ 1.) Nature พื้นที่ Roof Park ที่ออกแบบเพื่อตอบโจทย์สุขภาพและความสมดุลของคนเมือง พร้อมเส้นทางเดินออกกำลังกาย สนามเด็กเล่น และพื้นที่สัตว์เลี้ยง, 2.) Connectivity ทำเล Super Core CBD บนหัวมุมสีลม–พระราม 4 ที่เชื่อมโยงย่านเศรษฐกิจเก่า–ใหม่ และระบบขนส่งมวลชนครบวงจร, 3.) Culture รวมกว่า 550 แบรนด์และกลายเป็น Culinary Landmark ของเอเชีย โดยเฉพาะ Parkside Market ที่รวม Street Food และ Michelin Guide กว่า 1,000 เมนู, และ 4.) Sustainability & Design ที่ผสานแนวคิดกรีนบิลดิ้งและการออกแบบเพื่ออนาคต รองรับการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 11 ตันต่อปี ด้านอาหารและแฟชั่น “เซ็นทรัล พาร์ค” ได้รวบรวมร้านดังครั้งแรกในประเทศไทย อาทิ คิวามิยะ จากญี่ปุ่น, Super Matcha จากเกาหลี และ CHEONGDAM GARDEN รวมทั้งร้านดังคอนเซ็ปต์ใหม่และเครือแบรนด์ใหญ่ เช่น ไอเบอรี่กรุ๊ป รวมทั้งแฟชั่นระดับโลกจาก Inditex Group ได้แก่ ZARA, BERSHKA และ PULL & BEAR ที่ทยอยเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2568 รวมถึงแบรนด์กีฬาและไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ ที่เข้ามาครบครัน ขณะเดียวกันยังมี “Central Park Offices” ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของโครงการ ยังถูกพัฒนาเพื่อรองรับวิถีการทำงานยุคใหม่ ด้วยมาตรฐาน WELL, LEED และ Wired Score อาคารสูง 43 ชั้น พร้อมวิว Roof Park และเส้นขอบฟ้ากรุงเทพฯ ที่ดีที่สุด นับเป็นสำนักงานแห่งอนาคตที่ตอบโจทย์ทั้งบริษัทข้ามชาติและคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง นอกจากนี้ “เซ็นทรัล พาร์ค” ยังให้ความสำคัญกับชุมชนและย่านโดยรอบ ผ่านกิจกรรม “Neighborhood Soul” ที่ดึงร้านท้องถิ่นมาร่วมสร้างประสบการณ์ใหม่ และมอบสิทธิพิเศษให้คนในพื้นที่ภายใต้แคมเปญ “Hello Neighbor!” เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างศูนย์การค้ากับชุมชน อีกทั้งยังมีแผนจัดกิจกรรมใหญ่ “Here for Celebration” ในเดือนพฤศจิกายน 2568 พร้อมเปิดตัว The Glass House ร้านอาหารวิวสวนลอยฟ้าสุดพิเศษ ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกยังท้าทาย แต่ “เซ็นทรัล พาร์ค” คือความมุ่งมั่นระยะยาวของเซ็นทรัลพัฒนาต่อกรุงเทพฯ โดยคาดว่าพื้นที่โซนอาหารจะมีจำนวนผู้ใช้บริการเฉลี่ยราว 30,000 คนต่อวันในเฟสแรก และจะทะลุ 70,000 คนต่อวันเมื่อเปิดให้บริการเต็มรูปแบบขณะที่ภาพรวมคาดว่าจะดึงดูดผู้ใช้บริการได้มากกว่า 25 ล้านคนต่อปี ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะตลาดตะวันออกกลางและยุโรป พร้อมตอกย้ำว่า “กรุงเทพฯ ไม่มีทางเต็ม” และยังคงมีศักยภาพการเติบโตต่อไปในอนาคต