AIHospital

นพ.เสถียร ภู่ประเสริฐ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 33 ปี โรงพยาบาลยังคงยึดมั่นในพันธกิจ “Healthcare You Can Trust” โดยไม่หยุดพัฒนา ทั้งด้านนวัตกรรมการแพทย์ การบริการ และระบบที่เข้าถึงง่าย ปลอดภัย และคุ้มค่า ภายใต้แนวคิด “Good Health Grows With Care สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการดูแลอย่างใส่ใจ ที่เน้นการเข้าใจบริบทเฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง เนื่องจากโรงพยาบาลพระรามเก้ามีความเชี่ยวชาญในการดูแลโรคซับซ้อน เช่น โรคไต หัวใจ มะเร็ง กระดูกและข้อ และการผ่าตัดแผลเล็ก (Minimal Invasive Surgery) โดยใช้กลยุทธ์หลัก 4 ด้าน ได้แก่ 1.Global Standard, 2.World-Class Hospitality, 3.Efficiency with Cooperation และ 4.Digital Transformation ล่าสุดยังได้พัฒนา “9 SMART” ผ่าน LINE Application ซึ่งได้รับความนิยมสูง โดยยึดหลัก 3 แนวคิด คือ Decentralized, Personalized, และ Seamless เพื่อให้บริการสุขภาพเข้าถึงได้ง่ายและตอบโจทย์เฉพาะบุคคล โดยฟังก์ชันเด่นของ 9 SMART ได้แก่ เปิดประวัติและนัดหมาย, ตรวจสอบคิวแบบเรียลไทม์, ดูผลตรวจ, จัดการแพ็กเกจสุขภาพ และระบบสะสมแต้มแลกรางวัล ทั้งนี้ ระบบยังผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ด้วยการยืนยันตัวตนก่อนเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ ด้านนพ.วิทยา วันเพ็ญ รองกรรมการผู้อำนวยการ สำนักงานแผนยุทธศาสตร์ กล่าวว่า “ตลอด 33 ปีที่ผ่านมา เรามองเห็น Pain point ต่างๆ จากประสบการณ์จริงของผู้รับบริการ จึงออกแบบและพัฒนา 9 SMART ผ่าน LINE Application ซึ่งเป็นแอปที่ผู้ใช้งานคุ้นเคยอยู่แล้ว ลดความยุ่งยากในการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใหม่ โดยออกแบบภายใต้แนวคิด 3 แกนหลัก คือ Decentralized บริการสุขภาพไม่ต้องเริ่มที่โรงพยาบาลอีกต่อไป, Personalized ทุกคนจะได้รับบริการสุขภาพที่ปรับให้เหมาะความต้องการเฉพาะบุคคล และ Seamless เชื่อมต่อทุกขั้นตอนแบบไร้รอยต่อ สะดวก รวดเร็ว เพื่อให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่ายและเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ด้านขมาภรณ์ ธัมพิพิธ รองกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2568 โรงพยาบาลมีแผนขยายขีดความสามารถในการรองรับผู้ป่วย ด้วยการรีโนเวทพื้นที่เพื่อเพิ่มจำนวนเตียงอีก 20 เตียงคาดว่าจะเปิดใช้บริการไตรมาส 3/68 รวมถึงปรับปรุงหอผู้ป่วยหนัก (ICU) โดยจัดตั้ง หน่วย Stroke Unit จำนวน 9 เตียง พร้อมทั้งขยายแผนกฟอกไตจาก 17 เตียง เป็น 20 เตียง โดยปัจจุบันโรงพยาบาลมีเตียงให้บริการ 204 เตียง และสามารถขยายได้สูงสุดราว 300 เตียง นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนในเครื่องมือทางการแพทย์ อาทิ เครื่อง MRI รุ่นใหม่ ระดับ 3 Tesla ซึ่งช่วยให้ในตรวจวินิจฉัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพิ่มความสะดวกสบายแก่ผู้รับบริการโดยคาดว่าจะเปิดให้บริการ 1 ส.ค.นี้ รวมถึงการติดตั้ง Cath Lab เพื่อเสริมศักยภาพในการรักษาเส้นเลือดหัวใจและสมอง พร้อมทั้งวางแผนจัดตั้งศูนย์บริการใหม่ในระยะยาว โดยมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้และอัตรากำไร (Margin) อย่างยั่งยืน อีกทั้งในด้านบุคลากรทางการแพทย์ทางโรงพยาบาลยังลงทุนสร้างหอพักพนักงานกว่า 130 ห้อง เพื่อเพิ่มสวัสดิการและรักษาบุคลากรคุณภาพ ท่ามกลางภาวะขาดแคลนแรงงานในธุรกิจโรงพยาบาล “โรงพยาบาลพระรามเก้ายังคงรักษาแนวโน้มรายได้ที่แข็งแกร่ง โดยวางเป้าปีนี้รายได้จะเติบโตระดับเลขสองหลัก (double digit) และคาดว่าปีนี้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin: GP) จะยังคงอยู่ในระดับที่ดีราว 30% ขึ้นไป ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิคาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมาส 3 และ 4 ซึ่งเป็นช่วงที่โรงพยาบาลมักมีรายได้สูงสุดในแต่ละปี ส่วนงบไตรมาส 2/68 คาดเติบโตต่อเนื่องและเตรียมประกาศงบกลางเดือนส.ค.นี้ โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญของรายได้มาจากการเติบโตของผู้ป่วยต่างชาติ โดยในไตรมาส 1/68 สัดส่วนอยู่ที่ระดับ 20-25% และคาดสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 26–27% จากปีก่อนอยู่ที่ 13-15% และวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนให้ถึง 30% ภายในระยะเวลา 3 ปี ” ขมาภรณ์ กล่าวเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติหลักรงพยาบาลประกอบด้วย CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม): กลุ่มลูกค้าดั้งเดิมเน้นรักษาโรคไต, กลุ่มชาวจีนอาศัยอยู่ในพื้นที่ห้วยขวาง ใกล้โรงพยาบาล,กลุ่มตะวันออกกลาง เติบโตเร็วและมีสัดส่วนใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน มักเข้ารับการรักษาโรคซับซ้อน เช่น โรคไต หัวใจ สมอง เบาหวาน และแผลเบาหวาน ขณะเดียวกันมีแผนการขยายฐานลูกค้าต่างชาติใหม่ๆ ได้แก่ บังกลาเทศ (มีสำนักงานแล้ว), ออสเตรเลีย, ปากีสถาน และประเทศอื่นๆเริ่มติดต่อเข้ามา เนื่องจากมองเห็นศักยภาพ คุณภาพ และความคุ้มค่าของโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลขนาดใหญ่แห่งอื่น โดยปากีสถานเดิมส่งผู้ป่วยไปตุรกีหรืออินเดีย แต่ตอนนี้เริ่มพิจารณาประเทศไทย นอกจากนี้โรงพยาบาลพระรามเก้าได้วางเป้าหมายสู่การเป็น AI-Driven Hospital ด้วยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในกระบวนการดูแลรักษาอย่างเต็มศักยภาพ ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับประเด็น Climate Change ผ่านแนวคิด การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Reduction) และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การลดการใช้กระดาษ ไฟฟ้า และน้ำ โดยตั้งเป้าหมายสู่ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ภายในปี 2065 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน