TVT พุ่งกว่า 14% ผลงานเด่น รับอานิสงส์ขยายฐานลูกค้า-ผลิตรายการทีวีป้อนช่องใหญ่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVT ณ เวลา 15.59 น. ราคาอยู่ที่ 2.10 บาท บวก 0.26 บาท หรือ 14.13% สูงสุดที่ 2.16 บาท ต่ำสุดที่ 1.96 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 290.56 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.33%

บล.เคเคเทรด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การเกิดขึ้นของช่องทีวีดิจิทัลนั้นคาดว่าจะเป็นบวกโดยตรงต่อ TVT ซึ่งจากเดิมช่องทีวีมีเพียง 6 ช่อง และกลุ่มลูกค้าผูกติดกับเพียง 4 ช่อง คือช่อง 3 ,5 ,7 และ 9 แต่ภายหลังเกิดทีวีดิจิตอล ซึ่งมีช่องฟรีทีวีเพิ่มเป็น 24 ช่อง

ขณะเดียวกันผู้ประกอบการผลิตรายการหลายรายได้ออกไปเปิดช่องของตัวเอง (Work Point , RS และGrammy) และเริ่มถอนรายการออกจากช่องฟรีทีวีเดิม จึงเปิดโอกาสให้ TVT สามารถรับงานเพิ่มขึ้นทั้งจากกลุ่มลูกค้าเดิม และสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้เพิ่มขึ้น โดยลูกค้าใหม่ที่ได้ อาทิ PPTV ไทยรัฐทีวี และนอกจากกลุ่มทีวีดิจิทัล ทาง TVT ยังขยายลูกค้าไปยังกลุ่มทีวีออนไลน์ อย่าง Line TV ซึ่งเริ่มผลิตรายการให้ในไตรมาส 2 ของปีนี้

ทั้งนี้คาดว่าผลประกอบการของ TVT รายได้ในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 25% โดยรายได้จะเริ่มกลับมาเติบโตดีตั้งแต่ไตรมาส 2/58 โดยมีปัจจัยหนุนจากรายการที่รับจ้างผลิตในปีนี้ที่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีอยู่เดิมประมาณ 6 รายการ เพิ่มเป็น 14 รายการ ซึ่งการเพิ่มจำนวนรายการที่ออกอากาศจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท โดยเฉพาะประสิทธิภาพในการทำกำไรขั้นต้อปรับตัวดีขึ้นจาก 13.7% เป็น 39% และคาดว่าสัดส่วนรายได้จากการรับจ้างผลิตต่อรายได้ค่าโฆษณาจะเพิ่มจากปีก่อนที่สัดส่วน 25%:75% เป็น 40%:60%

โดยถือว่าแนวโน้มของผลประกอบการดีกว่ากลุ่มผู้ประกอบการโทรทัศน์รายอื่นๆที่อยู่ในตลาด เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการเป็นทีวีดิจิทัล ทำให้ส่วนใหญ่มีผลขาดทุน ในขณะที่ TVT กลับมีงานเพิ่มขึ้น แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมโฆษณา และเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวี อาจถูกกดดัน หากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 58 ฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์

ด้านราคาหุ้น มองว่าปัจจุบันถือว่ายังถูก ราคาหุ้นได้ปรับลดลงมาต่ำกว่าราคาจองที่ 2 บาท ซึ่งหากอิงสมมติฐานเป้าหมายการเติบโตกับราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ราว 16.8 เท่า ถือว่าถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มผู้ให้บริการโทรทัศน์รายอื่นที่ซื้อขายที่ P/E เฉลี่ยสูงกว่า 25 เท่า ซึ่งมองว่ายังไม่สะท้อนแนวโน้มผลประกอบการที่จะเติบโตดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้