เส้นทางนักลงทุน : ช้อปหุ้น Laggard

การปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นไทยรอบนี้ ถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น นับตั้งแต่ดัชนีปิดตลาดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2560 ที่ระดับ 1,561.31 จุด จนถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2560 ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,613.34 จุด ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 52.03 จุด หรือคิดเป็น 3.33% ซึ่งการปรับตัวขึ้นเป็นการเข้ามาไล่ซื้อในหุ้นขนาดใหญ่เป็นส่วนใหญ่หลังราคาก่อนหน้าลงต่ำมากแล้ว


อย่างไรก็ดี การปรับตัวของดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยังมีหุ้นที่ราคายังปรับตัวช้ากว่าตลาด หรือจะเรียกว่าหุ้นกลุ่ม Laggard ที่มีพื้นฐานดี และราคาถูก เพราะเชื่อว่าจะยังเป็นเป้าหมายของการเก็งกำไรในรอบนี้อยู่ อย่างกลุ่ม SET50 ได้แก่ BBL, MINT และ MTLS ส่วนกลุ่ม SET100 ได้แก่ GFPT, SAWAD เป็นต้น

หุ้นเหล่านี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ ตามภาวะในช่วงที่ตลาดยังอยู่ในแนวโน้มดี!

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ราคาปิดวันที่ 11 ส.ค. 60 อยู่ที่ระดับ 181 บาท ส่วนราคาปิดวันที่ 30 ส.ค. 60 อยู่ที่ 186 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาท หรือคิดเป็น 2.76% ถือว่าราคาหุ้นยังขึ้นต่ำกว่าสัดส่วนของดัชนีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการไล่ล่าราคากันต่อ เนื่องด้วยหุ้นมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง พร้อมด้วยครึ่งปีแรก 60 ยังคงรักษาผลกำไรให้เติบโตขึ้นจากปีก่อนอีกด้วย

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ มองว่า BBL ยังคงมีรายได้ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องและยังสามารถเติบโตได้ในอนาคต รวมถึงยังมี Dividend yield อยู่ที่ 3.1% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ดี พร้อมให้ราคาเหมาะสมที่ 212.50 บาท

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ราคาปิดวันที่ 11 ส.ค. 60 อยู่ที่ระดับ 39 บาท ส่วนราคาปิดวันที่ 30 ส.ค. 60 อยู่ที่ 39.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือคิดเป็น 1.92% นับเป็นอีกตัวที่ราคาหุ้นยังขึ้นต่ำกว่าสัดส่วนของดัชนีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มราคาหุ้นจะคงปรับตัวขึ้นอีก เนื่องจากแรงหนุนที่ว่าในช่วงไตรมาส 3 นี้จะได้รับผลดีจากโรงแรมที่โปรตุเกสเข้าสู่ช่วง High Season

อีกทั้งยังลุ้นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐ ส่วนธุรกิจอาหารคาดว่าจะกลับมาเติบโตได้ในไตรมาส 4 จากการบริโภคที่ฟื้นตัว โดยภาพรวมของผลการดำเนินงานปี 60 บริษัทยังเติบโตโดดเด่น ขณะที่แผน 5 ปีหลังจากนี้จะใช้เงินลงทุนลดลง แต่สามารถรับรู้รายได้ในอัตราที่เพิ่มขึ้นได้จากผลดีของการลงทุนไปแล้วในช่วง 2-3 ปีก่อน สิ่งสำคัญที่นักวิเคราะห์ยังคงให้ราคาเป้าหมาย 45 บาท

บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS ราคาปิดวันที่ 11 ส.ค. 60 อยู่ที่ระดับ 34.25 บาท ส่วนราคาปิดวันที่ 30 ส.ค. 60 อยู่ที่ 33.50 บาท ลดลง 0.75 บาท หรือลงไป 2.19% ซึ่งราคาหุ้นยังต่ำกว่าสัดส่วนของดัชนีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันอย่างเห็นชัด โอกาสที่มีการไล่ราคาหุ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากบริษัทยังมีความเนื้อหอม ดาวเด่นต้นๆ ของกลุ่มลีสซิ่ง ปัจจุบันเป็นอันดับ 1 ในขนาดของพอร์ตสินเชื่อ และเป็นอันดับ 2 ในจำนวนสาขาบริษัทสามารถสร้างผลกำไรเติบโตต่อเนื่องและฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง  นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ให้ราคาพื้นฐาน 42 บาท

บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT ราคาปิดวันที่ 11 ส.ค. 60 กับวันที่ 30 ส.ค. 60 อยู่ที่ 19.20 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นอีกตัวที่ราคาหุ้นยังขึ้นต่ำกว่าสัดส่วนของดัชนีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ทำให้โอกาสที่จะมีการเข้าไล่ราคา เพราะบริษัทยังมีจุดแข็งในส่วนของการทำกำไร อีกทั้งแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/60 จะยังเติบโตต่อเนื่องและมองเป็นกำไรสูงสุดของปีตามปัจจัยฤดูกาล โดยให้น้ำหนักไปที่การเติบโตของปริมาณไก่ส่งออกที่ยังแข็งแกร่งและน่าจะดีต่อเนื่องไปในปีหน้า นอกจากนี้นักวิเคราะห์ให้ราคาเป้าหมาย 21 บาท

บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ราคาปิดวันที่ 11 ส.ค. 60 อยู่ที่ระดับ 50.50 บาท ส่วนราคาปิดวันที่ 30 ส.ค. 60 อยู่ที่ 50.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือคิดเป็น 0.50% ซึ่งเป็นอีกตัวที่ราคาหุ้นยังขึ้นต่ำกว่าสัดส่วนของดัชนีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ทำให้ราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก เนื่องจากบริษัทคงรับอานิสงส์ของผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

นอกจากนี้ SAWAD จะบันทึกสถิติกำไรใหม่ (ไม่รวมรายการพิเศษ) สำหรับไตรมาส 3/60 ซึ่งได้แรงหนุนจากสินเชื่อที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และอาจมีอัพไซด์สมมติฐานการเติบโตของสินเชื่อและการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญฯ ที่ลดลงกว่าคาด พร้อมกับนักวิเคราะห์ให้ราคาเป้า 60 บาท

สำหรับความน่าสนใจของหุ้นเหล่านี้ เนื่องจากเป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าในตลาดหุ้นไทย ทำให้เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน

Back to top button