
เศรษฐกิจชะลอ ทุบยอดขาย-กำไรหลักบจ.ปีนี้
ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน งวด 9 เดือนแรกของปี 68 ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างชัดเจนขึ้น
เส้นทางนักลงทุน
ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) งวด 9 เดือนแรกของปี 2568 ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างชัดเจนขึ้น
หากเปรียบเทียบผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้กับช่วงเดียวกันปีก่อน บจ.ใน SET มียอดขาย 12,432,596 ล้านบาท ลดลง 6.0% ขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการขายและบริหารลดลง 6.6% และ 1.2% ตามลำดับ
บจ.มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 844,047 ล้านบาท ลดลง 7.3% อย่างไรก็ดี บจ.ขนาดใหญ่หลายแห่งมีกำไรจากการควบรวมกิจการ การปรับโครงสร้างธุรกิจ และการลงทุนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ บจ.มีกำไรสุทธิ 886,814 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8%
ทั้งนี้ หากไม่รวม บจ.ในหมวดธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีภัณฑ์ บจ.มียอดขายลดลง 0.7% และมีกำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1.2% และ 16.4% ตามลำดับ
ด้านฐานะการเงินของ บจ. ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.49 เท่า ลดลงจาก 1.56 เท่า ณ ช่วงเดียวกันในปีก่อน
เฉพาะงวดไตรมาส 3 ปี 2568 เทียบกับไตรมาส 3 ปี 2567 บจ.ส่วนใหญ่มียอดขายลดลง แต่มีกำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 21.0% และ 31.4% ตามลำดับ เนื่องจาก บจ.ในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันมีราคาส่วนต่างค่าการกลั่นต่ำผิดปกติในปีก่อน
ทั้งนี้ หากไม่รวม บจ.ในหมวดธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีภัณฑ์ บจ.มียอดขายและมีกำไรจากการดำเนินงานลดลง 11.9% และ 3.2% ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5.3%
“สรวิศ ไกรฤกษ์” รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า นอกจากความท้าทายของราคาน้ำมันที่ลดลงแล้ว เศรษฐกิจไทยซึ่งเติบโตในอัตราชะลอลง และค่าเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เริ่มส่งผลกระทบชัดเจนกับยอดขาย บจ.ไทยในไตรมาส 3 โดยเกือบทุกหมวดธุรกิจมียอดขายลดลง และกระทบกับภาพรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี โดยเฉพาะหมวดบริการซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของประเทศ เริ่มมีผลประกอบการลดลงอย่างชัดเจนในไตรมาสดังกล่าว
สำหรับหมวดธุรกิจที่ยังเติบโตได้ดี คือ หมวดธุรกิจประกันภัย ตามแนวโน้มการออมและการประกันความเสี่ยงของสัมคมผู้สูงอายุ และหมวดโทรคมนาคม ได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการใช้ Data และ Internet เพิ่มตามแนวโน้มการปรับสู่สังคม Digital ที่เติบโต
ในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 151,127 ล้านบาท ลดลง 3.6% ขณะที่มีต้นทุนขาย 111,422 ล้านบาท ลดลง 4.0% มีกำไรขั้นต้น 39,705 ล้านบาท ลดลง 2.2% โดยมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 2.2% ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 9,702 ล้านบาท ลดลง 13.5% และมีกำไรสุทธิรวม 3,722 ล้านบาท ลดลง 38.9%
สาเหตุหลักของการลดลงของผลการดำเนินงาน เกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บจ. บางแห่งมีการส่งมอบโครงการตามสัญญาเกือบจะครบแล้ว บางแห่งมีการตั้งสำรองการลดลงของสินทรัพย์ทางการเงินและด้อยค่าเงินลงทุน ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับผลประกอบการรวมของ บจ.ใน mai
อย่างไรก็ดี ยังมี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่โดดเด่นสามารถรักษาการเติบโตของยอดขาย ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มบริการ และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยกลุ่มบริการมีการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิอีกด้วย
ด้านฐานะทางการเงิน บจ. ใน mai มีสินทรัพย์รวม 328,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% จากสิ้นปี 2567 และโครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.79 เท่า ใกล้เคียงกับสิ้นปี 2567
ทั้งนี้แนวโน้มผลประกอบการของ บจ.ในงวดไตรมาส 4 ปี 2568 ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ของไทยจะฉุดรั้งให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยชะลอตัวไปมากกว่าเดิม
“วิทัย รัตนากร” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่า สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และคาดจะกระทบต่อ GDP โดยรวมประมาณ 0.1-0.2% โดยพื้นที่ดังกล่าวมีสัดส่วนต่อ GDP ภาพรวม 2.6% ขณะที่พื้นที่ภาคใต้ทั้งหมดมีสัดส่วนต่อ GDP ทั้งประเทศราว ๆ 5-8% ดังนั้นแนวโน้ม GDP ทั้งปี 2568 นี้ จึงมีโอกาสเติบโตต่ำกว่า 2% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ถึงจะมีการประเมินแนวโน้มกำไร บจ.ไตรมาส 4 ปี 2568 จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้อยู่ในระดับจำกัด แต่การเติบโตของ GDP ระดับต่ำ และกำลังซื้อที่หดหาย จะส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการผลิตในพื้นที่ จนอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของกำไร บจ.ให้ต่ำกว่าคาดการณ์ได้อีกด้วย
ปี 2567 บจ.ใน SET มียอดขาย 17,524,872 ล้านบาท ดู ๆ แล้วปี 2568 นี้ ทั้งยอดขายและกำไรจากธุรกิจหลักคงจะสู้ปีก่อนไม่ได้ ขณะที่กำไรสุทธิแม้จะดูดี แต่มีที่มาจากการควบรวมกิจการ และการปรับโครงสร้างธุรกิจนั่นเอง
