
SCB EIC คาด GDP ไทยปี 69 โตเพียง 1.5% ชี้เร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ
SCB EIC คาดเศรษฐกิจไทยปี 2569 โตเพียง 1.5% ต่ำสุดในรอบกว่า 30 ปี จากแรงกดดันเศรษฐกิจโลก-สงครามการค้า พร้อมชี้จำเป็นเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจ เก็งกนง.หั่นดอกเบี้ยเหลือ 1% ในครึ่งแรกปี 69 ขณะเฟดคาดลดดอกเบี้ย 0.50% ในปี 69
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวเพียง 1.5% ลดลงจาก 2.0% ในปี 2568 และถือเป็นอัตราการเติบโตต่ำที่สุดในรอบกว่า 3 ทศวรรษ หากไม่รวมช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ สะท้อนแรงกดดันรอบด้านทั้งจากปัจจัยภายนอกและข้อจำกัดเชิงโครงสร้างภายในประเทศ
ปัจจัยกดดันสำคัญมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า และการแข่งขันจากต่างประเทศที่รุนแรงขึ้น ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเปราะบางในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อและการลงทุน รวมถึงข้อจำกัดด้านนโยบายการคลังภายใต้ความไม่แน่นอนทางการเมือง
สำหรับเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในปีหน้ามีแนวโน้มอ่อนแรงลง โดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอตัวจากฐานสูงในปีนี้ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง และการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนที่ถูกกดดันจากปัญหารายได้ หนี้สิน และเม็ดเงินสนับสนุนจากภาครัฐที่ลดลง แม้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในอุตสาหกรรมใหม่ยังเป็นความหวัง แต่ผลเชิงบวกในระยะสั้นยังจำกัดจากข้อจำกัดด้านห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ
ภายใต้ข้อจำกัดของนโยบายการคลังที่ต้องระมัดระวังระดับหนี้สาธารณะ SCB EIC มองว่านโยบายการเงินจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้เหลือ 1.25% และอีก 1 ครั้งภายในครึ่งแรกของปี 2569 เหลือ 1% เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจและช่วยลดภาระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ มากกว่าการกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อโดยตรง
ด้านเศรษฐกิจโลก คาดว่าในปี 2569 จะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 2.5% จาก 2.7% ในปีนี้ โดยมีแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะทำให้การค้าโลกชะลอตัวลง หลังจากเร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้า (Front-loading) อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกยังได้แรงหนุนจากการลงทุนด้าน AI โดยเฉพาะในสหรัฐฯ รวมถึงนโยบายการเงินและการคลังที่ยังผ่อนคลาย
สำหรับแนวโน้มนโยบายการเงินโลก ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มทยอยลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมรวม 0.50% ในปี 2569 ก่อนจะคงดอกเบี้ยในระดับสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 จากความเสี่ยงเงินเฟ้อ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2% ตลอดปี ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 1–1.25% ภายในปีหน้า หลังการปรับเพิ่มค่าจ้างมีความชัดเจนมากขึ้น
โดยยังชี้ว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนยังคงเป็นแรงกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยขยายวงกว้างไปยังทุกกลุ่มรายได้ แม้แต่กลุ่มผู้มีรายได้สูงกว่า 50,000–100,000 บาทต่อเดือน ก็เริ่มเผชิญภาระหนี้ที่สูงขึ้น ส่งผลให้ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินเชื่อในระบบการเงินยังน่าเป็นห่วง
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่สุดคือปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตของประเทศในระยะยาว SCB EIC เน้นย้ำว่า การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจังเป็นวาระเร่งด่วน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้การเติบโตต่ำกว่า 2% กลายเป็น “New Normal” โดยความสำเร็จของการปฏิรูปต้องอาศัยความมุ่งมั่นทางการเมืองที่ชัดเจนและต่อเนื่อง กลไกการทำงานที่โปร่งใส การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน รวมถึงมาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบในระยะสั้น เพื่อสร้างฉันทามติและแรงสนับสนุนจากสังคม

