หยุดมองข้ามหุ้น Dividend Yield สูง! ช่วงตลาดหมี

ในภาวะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรุนแรงและต่อเนื่องยาวนานหลายวันติดต่อกัน เรามักเรียกว่า “ตลาดหมี” ซึ่งถือเป็นช่วงที่ยากต่อการลงทุน


รายงานพิเศษ

ในภาวะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรุนแรงและต่อเนื่องยาวนานหลายวันติดต่อกัน เรามักเรียกว่า “ตลาดหมี” ซึ่งถือเป็นช่วงที่ยากต่อการลงทุน

เนื่องด้วยราคาหุ้นส่วนใหญ่ต่างปรับตัวลง เป็นเพราะนักลงทุนมีการเทขายหุ้นออกมา “เพื่อลดความเสี่ยง” ในการถือเงินสดไว้กับมือรอความชัดเจนของตลาด หรือที่ว่ากันว่า “เสด็จน้ำ” แล้วค่อยเริ่มต้นเข้าเก็งกำไรกันรอบใหม่เมื่อมีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน

ดังนั้นหากนักลงทุนที่ไม่อยากรอตลาดหุ้นฯนิ้ง โดยใช้ตำราหากลยุทธ์รับมือกับภาวะหมี…ในการเลือกหุ้นที่มีความเสียงต่ำ ถือเป็นช่องทางลงทุนที่ช่วยลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ซึ่ง “หุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสู (Dividend Yield)” จัดว่าอยู่ในกลุ่มดังกล่าว เพราะอย่างน้อยก็การันตีได้ว่า การลงทุนของคุณมีผลตอบแทนแน่นอน

ประกอบกับราคาหุ้นของหุ้นปันผลสูงๆ มักจะปรับตัวลงไม่ลึก และมักจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป็นเสียส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งนั้นเอง…แต่หุ้นประเภทนี้ต้องถือยาว!!!

ยุทธศาสตร์การลงทุนช่วงภาวะตลาดหมีจะแน่นเป็นหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) สูงว่า 4% ซึ่งมีรายชื่อหลักทรัพย์ดังในตารางประกอบ

ขณะที่ตัวอย่างหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) สูงสุด 10 ลำดับแรก เช่น 1) PREB ให้ผลตอบแทนเงินปันผล 16.07% (2) TPA ให้ผลตอบแทนเงินปันผล 13.01% (3) CMO ให้ผลตอบแทนเงินปันผล 12.00% (4) PSH ให้ผลตอบแทนเงินปันผล 9.90% (5) LHK ให้ผลตอบแทนเงินปันผล 9.57%

(6) BSBM ให้ผลตอบแทนเงินปันผล 9.40% (7) PAP ให้ผลตอบแทนเงินปันผล 9.38% (8) MFC ให้ผลตอบแทนเงินปันผล 9.27% (9) FTE ให้ผลตอบแทนเงินปันผล 9.25% และ (10) PDI ให้ผลตอบแทนเงินปันผล 8.93%

นั่นหมายความว่าการที่นักลงทุนอยากจะลงทุนช่วงตลาดหมี ควรเล่นหุ้นที่อัตราปันผลตอบแทนควรได้รับอย่างน้อยๆ 4 – 5% ขึ้นไป

ข้อมูลจาก Aspen ณ วันที่ 19 มิ.ย.61

Back to top button