พาราสาวะถี

วันอาทิตย์นี้จะเป็นบทพิสูจน์อีกรอบว่า อำนาจรัฐของฝ่ายสืบทอดอำนาจจะทำให้ชนะเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 7 จังหวัดขอนแก่นหรือไม่ โดยพรรคสืบทอดอำนาจส่ง สมศักดิ์ คุณเงิน รองแชมป์รอบการเลือกตั้งที่ผ่านมาลงชิงชัยกับคู่แข่งจากพรรคเพื่อไทย ธนิก มาศรีพิทักษ์ งานนี้เป็นการชี้วัดว่าฐานเสียงอันแน่นหนาของพรรคนายใหญ่ในภาคอีสานยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิมหรือไม่ หากพ่ายแพ้จะส่งผลต่อการเดินเกมในสภาผู้แทนราษฎรกันอยู่ไม่น้อย


อรชุน

วันอาทิตย์นี้จะเป็นบทพิสูจน์อีกรอบว่า อำนาจรัฐของฝ่ายสืบทอดอำนาจจะทำให้ชนะเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 7 จังหวัดขอนแก่นหรือไม่ โดยพรรคสืบทอดอำนาจส่ง สมศักดิ์ คุณเงิน รองแชมป์รอบการเลือกตั้งที่ผ่านมาลงชิงชัยกับคู่แข่งจากพรรคเพื่อไทย ธนิก มาศรีพิทักษ์ งานนี้เป็นการชี้วัดว่าฐานเสียงอันแน่นหนาของพรรคนายใหญ่ในภาคอีสานยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิมหรือไม่ หากพ่ายแพ้จะส่งผลต่อการเดินเกมในสภาผู้แทนราษฎรกันอยู่ไม่น้อย

ต้องไม่ลืมว่า จากรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ แต่การขับ 4 ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ เท่ากับเป็นการผลักให้คนเหล่านั้นไปเติมเสียงให้กับซีกสืบทอดอำนาจ แล้วถ้าสามารถกำชัยชนะในการเลือกตั้งซ่อมที่ขอนแก่นได้อีก ก็เท่ากับเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเข้าไปอีก ขณะเดียวกัน ก็จะเปิดช่องให้ฝ่ายอำนาจสืบทอด นำไปใช้เป็นโจมตี ดิสเครดิตฝ่ายค้านต่อไป ไม่ต้องถามถึงการเมืองสร้างสรรค์ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไม่มีสำหรับฝ่ายที่อ้างว่าเข้ามาเพื่อการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

เห็นรายชื่อ 49 กรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว สะดุดกันอยู่ 2 ชื่อคือ สนธิญาณ หนูแก้ว หรือชื่นฤทัยในธรรม และ สมชัย ศรีสุทธิยากร รายแรกนั้นไม่ได้แปลกใจแต่ไม่คิดว่าจะเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวในโควตาของพรรคสืบทอดอำนาจ เพราะถือเป็นความท้าทายในฐานะผู้บริหารสื่อในเครือเนชั่นที่กำลังมีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทย การส่งรายชื่อมาเช่นนี้ก็เท่ากับเปิดหน้าชก ท้าชนว่ามีปัญหาอะไรกับสายสัมพันธ์แบบนี้หรือไม่

จะว่าไปแล้วเรื่องของอำนาจสืบทอดก็บอกมาโดยตลอดไม่เคยสนเสียงวิจารณ์ใด ๆ อยู่แล้ว ยิ่งเปิดหน้ากันมากเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้เห็นภาพการก่อนรัฐประหารของเผด็จการคสช.เด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น เรื่องความรู้ความเชี่ยวชาญหรือมุมคิดที่เป็นประโยชน์ของสนธิญาณ คงมีอยู่ไม่น้อย แต่จะเป็นฝ่ายสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขหรือไปเป็นฝ่ายค้านในคณะกรรมาธิการก็ต้องติดตามดูกัน เพราะพิจารณาแต่ละรายชื่อกรรมาธิการจากซีกของครม.และพรรคสืบทอดอำนาจแล้ว ก็รู้สึกเหนื่อยแทนฝ่ายที่ต้องการจะแก้ไขไม่น้อย

ขณะที่รายชื่อของสมชัยนั้นที่บอกว่าเหนือความคาดหมายคือ เป็นการเข้ามาเป็นกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคเสรีรวมไทย ถือว่าเป็นการได้รับโอกาสในการที่จะไปนำเสนอข้อคิดความเห็นอันเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเลือกตั้งทั้งระบบ จากที่เคยวิเคราะห์ ให้ความเห็นหลังจากถูกเด้งพ้นเก้าอี้กกต.ด้วยมาตรา 44 ที่นี้จะได้มีเวทีซึ่งสามารถชี้แนะสิ่งที่เป็นประโยชน์จากประสบการณ์ที่ผ่านมาได้มากโขทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ผู้สั่งให้เขียนรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบไม่ประสงค์ที่จะแก้ไข มันจึงทำให้เกิดคำถามตัวโตขึ้นมาว่า จะมีช่องทางใดที่นำไปสู่การแก้ไขได้หรือไม่ เวทีที่จัดตั้งกันขึ้นมาถือเป็นภาวะจำยอมของขบวนการสืบทอดอำนาจ เพราะหากไม่รับเงื่อนไขดังกล่าวก็ไม่มีทางให้พรรคอย่างประชาธิปัตย์ หาเหตุผลมาใช้ร่วมรัฐบาลได้เลย แค่ประเด็นการชัตดาวน์อำนาจคสช.มันบางเบาเหลือเกิน เพราะหลังเลือกตั้งถึงพรรคเก่าแก่ไม่ร่วมรัฐบาล อำนาจดังว่าก็ต้องหมดไปอยู่ดี

ทีนี้พอมีเงื่อนไขแก้รัฐธรรมนูญ โดยยกเอามาตรา 256 มาเป็นตัวชูโรง ด้วยการอ้างว่าจะเป็นหนทางที่นำไปสู่การแก้ไขได้ง่ายที่สุด คำถามก็คือ อำนาจสืบทอดเห็นพ้องต่อการที่จะให้แก้ไขหรือไม่ มิหนำซ้ำ ยังมีส.ว.ลากตั้ง 250 เสียงยืนค้ำอยู่ ยิ่งได้ฟัง พีระศักดิ์ พอจิต ส.ว.ลากตั้งที่ส่งลูกชายไปอยู่สังกัดพรรคสืบทอดอำนาจที่ว่า ระวังหยิบกุญแจผิดก็จะเปิดประตูผิดตั้งแต่บานแรก ก็พอจะทำให้เห็นแล้วว่า หนทางในการไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจนั้นเป็นอย่างไร

แต่งานนี้ก็ดีไปอย่างจะได้เห็นความจริงจังและจริงใจจากคนพรรคเก่าแก่ ที่ย้ำมาโดยตลอดว่าเงื่อนไขการแก้รัฐธรรมนูญนั้นไม่ได้เสนอไปเพื่อสร้างภาพ แต่มีความประสงค์ที่จะให้สำเร็จอย่างแท้จริง ถ้าเข้าไปทำหน้าที่แล้วไม่มีอะไรหวือหวาหรือทำตัวเป็นหลิวลู่ลม สมยอมกับพวกเดียวกัน ฝ่ายเดียวกัน มันก็จะเป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่า พรรคที่ชอบอ้างอุดมการณ์ยึดมั่นในระบบนั้น ในทางปฏิบัติที่ผ่านมายังทำให้คนเชื่อเช่นนั้นไม่ได้ ถ้าหนนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่าอีก คนก็จะได้เลิกเชื่อถือกันไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ความเคลื่อนไหวของ 4 ส.ส.งูเห่าวันนี้สปอตไลท์สาดส่องไปที่ ศรีนวล บุญลือ จากเขต 8 เชียงใหม่ หลังเจ้าตัวได้เข้าคอกภูมิใจไทยเป็นที่เรียบร้อย รอเพียงพิธีกรรมทางข้อกฎหมายเท่านั้น พฤติกรรมที่แสดงออกไม่จำเป็นต้องบอกว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่อยากให้ย้อนกลับไปถึงที่มาที่ทำให้ตัวเองได้เป็นส.ส.ในวันนี้ ไม่ใช่เพราะสังกัดพรรคอนาคตใหม่อย่างแน่นอน หากเป็นเรื่องของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งในเขตดังวาอย่าง สุรพล เกียรติไชยากร จากพรรคเพื่อไทยที่ได้รับใบส้มจากกกต.ต่างหาก

นี่แหละธาตุแท้ของนักการเมือง ไม่ว่าจะหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ ไม่ว่าจะเดียงสาพูดจาภาษาถิ่นหรือพูดได้กี่ภาษา เมื่อได้เข้ามาสัมผัสช่องทางแห่งผลประโยชน์แล้ว หากหลงใหลได้ปลื้มกับลาภยศที่เป็นหัวโขนสมมติ มักจะลืมกำพืดของตัวเองกันอยู่เป็นประจำ คงเหมือนที่หลายคนเรียกร้องหากคิดว่าได้เป็นส.ส.เพราะความนิยมในตัวเอง ก็ลองลาออกแล้วไปลงสมัครใหม่ จะได้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ถ้าชนะใส ๆ กลับมาเป็นส.ส.อีกกระทอก คนก็จะได้เลิกค่อนขอดและกล่าวหาว่าเป็นพวกกินบนเรือนขี้บนหลังคา

ปมยุบพรรคอนาคตใหม่ที่กกต.ลงมติส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จนฝ่ายกฎหมายของพรรคไปฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางว่า กกต.ทั้ง 7 คนและกก.วินิจฉัยรวม 14 คน กระทำผิดตามมาตรา 157 นั้น ศาลรับไว้ในสารบบคดีหมายเลขดำ อท.185/2562 โดยศาลกำหนดนัดฟังคำสั่งในชั้นตรวจคำฟ้องว่าจะรับคำฟ้องนี้ไว้ไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ต่อไปหรือไม่ ในวันที่ 6 มกราคมปีหน้า เช่นเดียวกับคดีเร่งรัดปมหุ้นสื่อของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ศาลนัดฟังคำสั่งที่ยื่นฟ้อง 7 กกต. 24 ธันวาคมนี้

แต่ในซีกของพรรคน้องใหม่ไฟแรง สิ่งที่ยังเป็นปัญหาให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์คือความมั่นใจในตัวเองและการอ้างสิทธิ เสรีภาพ การนำคนไปจูบกันกลางสภาที่เป็นกลุ่มชายรักชายนั้น แม้แต่คนพรรคเดียวกันยังรับไม่ได้ถึงกับเรียกร้องให้ส.ส.ของพรรคที่ไปตั้งโต๊แถลงข่าวแสดงความรับผิดชอบ ขึ้นอยู่กับสำนึกของคน ๆ นั้น แต่ก็อย่าลืมว่าด้วยว่าขณะที่มีการโหมประโคมข่าวกันเรื่องนี้ ยังมีเรื่องคนโตในรัฐสภาคุกคามทางเพศเจ้าหน้าที่หญิงด้วยที่เรื่องเงียบผิดปกติ อย่าให้เกิดข้อครหาเพศแม่ถูกย่ำยีโดยที่ผู้ชายในสภาไม่แยแสกันแม้แต่คนเดียว

Back to top button