“กรภัทร” มอง SET พักตัว ชู KBANK–KTB ปันผลดี GULF–TASCO รับบาทแข็งหนุน

นายกรภัทร วรเชษฐ์ มอง SET พักตัว โดยให้แนวรับสำคัญที่ระดับ 1,165 จุด แนวต้าน 1,190 จุด พร้อมแนะนำลงทุน KBANK–KTB ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และปันผลดี ส่วน GULF–TASCO รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทแข็งค่า


นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าวันนี้ (22 พ.ค.68) ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในช่วงของการพักตัว โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่าดัชนีมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,165 จุด และแนวต้านที่ 1,190 จุด ท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield) ที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทั้งในระยะ 10 ปีและ 30 ปี ซึ่งสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับสถานะการคลังของสหรัฐฯ ที่อาจขาดดุลเพิ่มขึ้นจากแผนการใช้จ่ายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ส่งสัญญาณว่าทั้งเงินสกุลหลักและพันธบัตรของสหรัฐฯ กำลังถูกลดน้ำหนักการลงทุน โดยเฉพาะจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ต้องการผลตอบแทน (Premium) สูงขึ้นจากสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดสหรัฐฯ จึงเกิดแรงขายพันธบัตรซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ผลักดัน Bond Yield ขึ้น

แม้ภาพรวมตลาดโลกมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ถูกแรงขายกดดันอย่างต่อเนื่อง แต่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) รวมถึงตลาดหุ้นเอเชียและไทยเริ่มกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง เห็นได้จากกระแสเงินทุนต่างชาติ (Capital Inflow) ที่ไหลเข้าสู่ภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น

ในส่วนของแนวโน้มนโยบายการเงินในเอเชียและไทย ยังมีความยืดหยุ่นสูงกว่าสหรัฐฯ จากปัจจัยเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ราคาพลังงานไม่สูง และค่าเงินในภูมิภาคที่มีแนวโน้มแข็งค่า ทำให้มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาสมดุลเชิงการแข่งขัน โดยคาดว่านโยบายการเงินในเอเชียจะผ่อนคลายไปในทิศทางเดียวกัน

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ มีแรงสนับสนุนที่สำคัญจากการปรับแผนการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยเฉพาะการโยกงบประมาณจากโครงการ Digital Wallet มูลค่า 157,000 ล้านบาท ไปยังโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านเกษตรกรรมและนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 100,000 ล้านบาท คาดว่าจะส่งผลบวกต่อระบบเศรษฐกิจไทยในระยะกลางถึงยาว โดยมีอัตราขยายตัว (Multiplier Effect) ประมาณ 1.4 – 1.8 เท่า และช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการชะลอตัวของ GDP ที่อาจต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์

ด้านผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหุ้นไทย การลดดอกเบี้ยในประเทศเป็นปัจจัยสนับสนุนหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง ปันผลดี และราคายังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เช่น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ขณะที่หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า (เช่น บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO จากหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทแข็งค่าก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ดี

ในระยะสั้น กลุ่มค้าปลีกอาจเผชิญแรงกดดันจากการชะลอการใช้มาตรการ Digital Wallet ซึ่งอาจส่งผลต่อยอดขายในบางช่วง อย่างไรก็ตาม มาตรการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ชัดเจนกว่านี้คาดว่าจะช่วยหนุนเศรษฐกิจและกำลังซื้อในระยะถัดไป

โดยภาพรวม ตลาดหุ้นไทยในระยะกลางถึงยาวยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐที่เน้นการลงทุนระยะยาวมากกว่ามาตรการกระตุ้นระยะสั้น ซึ่งได้รับการตอบรับในเชิงบวกจากนักลงทุนสถาบันที่มองหาการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพและศักยภาพการเติบโตในระยะยาว

ทั้งนี้ ทางฝ่ายนักวิเคราะห์คาดว่า ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ตลาดทุนในเอเชีย รวมถึงไทย มีโอกาสได้รับความสนใจมากขึ้นจากนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และค่าเงินในภูมิภาคที่มีเสถียรภาพ ขณะที่ในระยะสั้น ตลาดอาจยังอยู่ในช่วงประเมินปัจจัยต่าง ๆ แต่มีแนวโน้มที่จะยกฐานการฟื้นตัวสูงขึ้น

Back to top button