
พาราสาวะถี
ท้าเหยง ๆ ให้ไทยไปขึ้นศาลโลกเพื่อยุติปัญหาพิพาทชายแดน ตามสไตล์ ฮุน เซน ซึ่งแถลงต่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภากัมพูชาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ท้าเหยง ๆ ให้ไทยไปขึ้นศาลโลกเพื่อยุติปัญหาพิพาทชายแดน ตามสไตล์ ฮุน เซน ซึ่งแถลงต่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภากัมพูชาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา จะยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อยุติข้อพิพาทชายแดนกับไทยบริเวณสามเหลี่ยมมรกตหรือช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย พร้อมอ้างว่าเป็นการให้เกียรติประเทศเพื่อนบ้านในการร่วมกันคลี่คลายความขัดแย้ง โดยใช้วิธีการทางการทูต
ไม่เพียงเท่านั้น ยังท้าทายในเชิงเย้ยหยันด้วยว่า หากไทยยังคงปฏิเสธและหลีกเลี่ยงการใช้วิธีการดังกล่าว สะท้อนชัดเจนว่าฝ่ายไทยมีเจตนาซ่อนเร้น ถ้าบริสุทธิ์ใจทำไมต้องกลัวการขึ้นศาล เมื่อมองไปยังหัวขบวนอำนาจของฝ่ายเขมร ย้อนกลับมาดูท่วงทำนองของฝ่ายที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย ชัดเจนว่า นี่เป็นความพยายามในการปลุกกระแสคลั่งชาติของฝ่ายโน้น เพื่อหวังผลทางการเมืองภายในเอง เพราะอีกด้านพอฝ่ายไทยขู่ที่จะปิดด่านชายแดน ก็มีการรีบขอให้ผ่อนปรนไปก่อน
มันย้อนแย้งกันชัดเจน เนื่องจากการปลุกกระแสคลั่งชาตินั้นลามหนักถึงขั้นให้คนเขมรแอนตี้สินค้าจากประเทศไทย แต่กลับขอไม่ให้มีการปิดชายแดน สะท้อนให้เห็นว่าถ้ายกระดับความขัดแย้งให้รุนแรงขึ้น ฝ่ายที่ได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ ย่อมเป็นคนที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูล “ฮุน” นั่นเอง อยู่ที่ว่ารัฐบาลโดย “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย ที่คุมกระทรวงกลาโหม จะสามารถประสานให้ฝ่ายกองทัพอดทนอดกลั้นได้ขนาดไหน แต่สิ่งที่ทำอยู่เวลานี้ถือว่าถูกทาง บางทีคงต้องปล่อยให้อีกฝ่ายบ้าระห่ำให้ถึงขีดสุดไปเพียงฝ่ายเดียว
เหลียวกลับมาดูสถานการณ์การเมืองภายในประเทศเป็นเรื่องที่น่าห่วงมากกว่า ว่ากันด้วยการเขย่าเก้าอี้รัฐมนตรี งานนี้ แพทองธาร ชินวัตร ถึงกับสวมบทเตมีย์ใบ้ไม่ตอบคำถามนักข่าว เท่ากับว่าข่าวที่ถูกปล่อยออกมาขยับเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ หากพรรคร่วมรัฐบาลอันดับรองอย่างภูมิใจไทย แนน บุณย์ธิดา สมชัย โฆษกพรรคยืนยันข่าวที่อ้างคุณแหล่งข่าวบอกว่า เพื่อไทยมีการประสานงานเรื่องการปรับ ครม.มาแล้ว ไม่เป็นความจริง
ไม่ว่าอย่างไร เนื้อหาที่ปรากฏเป็นข่าวก็น่าสนใจ เพราะมีรายงานว่าภูมิใจไทยได้ส่งสารกลับไป ทางพรรคยังไม่มีแนวคิดที่จะปรับแต่อย่างใด แต่หากเป็นความประสงค์ของนายกฯ ก็ไม่ขัด เพียงแต่มีเงื่อนไขว่า “ต้องปรับใหญ่ทั้งคณะ” มาสูตรนี้นั่นหมายความว่า อนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ประสงค์ที่จะต่อรองแค่การคืนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น เป็นความต้องการล้างไพ่ เพื่อที่จะดูหน้าตักของแต่ละพรรคว่า มีสัดส่วน สส.อยู่ในมือเท่าไหร่ และพรรคไหนจะได้โควตากี่ที่นั่ง
งานนี้ย่อมหนีไม่พ้น ต้องมีการเรียกหัวหน้าและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดมาถกกัน พรรคที่ส่อว่าจะมีปัญหา ถ้ามองตามหน้าเสื่อคงเป็นรวมไทยสร้างชาติ จากการขยับของ สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์และรองหัวหน้าพรรค ที่ข่าวมาแรงจะเปลี่ยนสีเสื้อไปสังกัดพรรคโอกาสใหม่ ล่าสุด ตั้งวงจิบกาแฟกับ สส.ภาคใต้บางส่วนของพรรค มี พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สส.เขต 10 นครศรีธรรมราช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมวงด้วย
ความเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ เป็นไปในรูปแบบเดียวกันกับกลุ่ม สส.ในสังกัด ธรรมนัส พรหมเผ่า ก่อนที่จะแยกตัวออกมาจากพรรคพลังประชารัฐ ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามว่า การเจรจาเพื่อปรับ ครม.หนนี้สัดส่วนรัฐมนตรีจะจัดสรรกันอย่างไร จะใช้สูตรเดียวกันกับพรรคของคนบ้านในป่าก่อนหน้านั้นหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง มีแนวโน้มว่าทางกลุ่มของ “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อาจมีอันต้องพ้นจากความเป็นฝ่ายร่วมรัฐบาลไป
เท่ากับเป็นการตัดหางขั้วอนุรักษนิยมเดิม หรือตัวแทนของสามสีพี่น้องบูรพาพยัคฆ์ไปอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากเดินเกมกันแบบนี้จะเป็นการชี้ให้เห็นว่า ทักษิณ ชินวัตร เชื่อมั่นในพลังที่สนับสนุน และมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า เพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลจะยืนระยะได้ครบเทอม และหวังผลไปไกลถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า อันเป็นการชี้ให้เห็นว่าการใช้มือทำงานเดินเกมดึงคนต่างพรรคมาเป็นพวกประสบผลสำเร็จ จึงทำให้กล้าที่จะขอคืนเก้าอี้กระทรวงสำคัญ และเกิดการเกลี่ยโควตารัฐมนตรีกันใหม่ด้วย
ว่ากันว่า ผลของการเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 8 นครศรีธรรมราช เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่ง ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ ผู้สมัครจากกล้าธรรมเข้าวินนั้น เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่าการยืนอยู่ฝั่งกุมอำนาจมีผลอย่างหนักหน่วงสำหรับการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใต้ การใช้คนที่ไม่มีหัวโขนในรัฐบาลทำให้เข้าถึงได้มากกว่า ไม่เพียงแต่เจาะฐานเสียงของคู่แข่งได้เท่านั้น แต่ยังแอบตีท้ายครัว สส.ของพรรคร่วมรัฐบาลได้อีกจำนวนไม่น้อย ทั้งที่ผ่านมาก็เลี้ยงดูปูเสื่อกันเป็นอย่างดี นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้มาใหม่มีข้อเสนอที่จุใจมากกว่า
เกิดปุจฉาตามมา ถ้าสถานการณ์เดินกันไปแบบนี้มีโอกาสที่จะทำให้รัฐนาวาแพทองธารถึงทางตัน ล้มกระดานกันเลยหรือไม่ ด้วยเงื่อนไขของการตั้งรัฐบาลพลิกขั้วต่างรู้กันดีแยกกันเดินเท่ากับการก้าวไปสู่หุบเหว ไม่ว่าจะเจอกับอะไรก็ตาม จำเป็นต้องกลืนเลือด กัดฟันอยู่ด้วยกันต่อไปให้นานที่สุด เช่นเดียวกันกับความพยายามในการที่จะพลิกเกมสร้างผลงานให้กับรัฐบาล จากตั้งเป้าจะโชว์ศักยภาพแก้ปัญหาเศรษฐกิจ พอเจอโจทย์หิน ทำให้ต้องหันหัวขบวนไปชูการแก้ปัญหายาเสพติดมาเป็นพระเอกแทน
ถ้ายอมรับกันแบบแมน ๆ ผู้แทนของพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนไม่น้อยก็หวังที่จะอาศัยใบบุญจากโครงการเรือธงของเพื่อไทย อย่างแจกเงินหมื่นไปชูเป็นผลงานช่วงหาเสียง พอทำท่าว่าโครงการจะไม่เดินต่อจึงทำให้เกิดความกังวลกันไม่น้อย ดังนั้น จะเห็นได้ว่าถึงจะเกิดความไม่พอใจต่อการสลับปรับเปลี่ยนเก้าอี้รัฐมนตรี ด้วยความที่เป็นทักษิณและเพื่อไทย คนร่วมทางก็ยังหวังว่าถ้าขยับกันเพื่อหวังผลเลือกตั้งแล้ว น่าจะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้นบ้าง จึงไม่เลือกหนทางหักด้ามพร้าด้วยเข่า
อรชุน