VGI ทุ่มงบลงทุนปีนี้ 1 พันล้าน ลุย 3 ธุรกิจหลัก “โฆษณา-ดิจิทัล-ค้าปลีก” เต็มสูบ

VGI กางแผนปี 68 วางงบลงทุนแตะ 1 พันล้านบาท เดินหน้า 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจดิจิทัลเซอร์วิส ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้โปรเจกต์ Virtual Bank


นายสาวิน วงศ์รุ่งโรจน์กิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 6 มิ.ย.68 ว่าในปี 2567/68 บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิ 501.23 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 3,488.77 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้จากการให้บริการและขายอยู่ที่ 5,219 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 4,813 ล้านบาท เป็นผลมาจากธุรกิจสื่อโฆษณาและธุรกิจบริการด้านดิจิทัล รวมถึงค่าใช้จ่ายและบริหารลดลง

สำหรับ บริษัทวางเป้าหมายเดินหน้าขยายธุรกิจในปี 2568 อย่างรอบคอบและมีแบบแผน โดยเตรียมงบลงทุนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ครอบคลุม 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโฆษณา (Advertising) ที่ยังคงเน้นลงทุนในพื้นที่สื่อภายในระบบรถไฟฟ้า แม้ยังอยู่ระหว่างการต่ออายุสัญญาสัมปทาน, ธุรกิจค้าปลีก (Distribution) ที่มุ่งขยายสาขา Super Turtle

โดยในปีนี้จะทยอยเปิดสาขาในสายสีเหลืองและสีชมพู โดยเน้นพื้นที่ที่มีจำนวนผู้โดยสารสูง และเริ่มทดลองโมเดล Turtle Extra ซึ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ภายนอกสถานี เพื่อจับโอกาสจากพื้นที่ต้นทุนต่ำแต่มีศักยภาพสร้างยอดขาย, รวมถึงธุรกิจดิจิทัลเซอร์วิส (Digital Services) ที่ยังคงลงทุนในด้านซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ โดยเชื่อว่าจะสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ในระยะสั้นจากพัฒนาการต่อเนื่องที่ดีในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา

ในด้านกลยุทธ์ทางการเงิน VGI ถือสถานะเป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้สิน และมีเงินสดในมือรวมกว่า 20,000 ล้านบาท จากการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงผู้ลงทุน (PP) มูลค่า 13,000–14,000 ล้านบาท ประกอบกับรายได้จากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยอย่าง Rocktech และ Curry อีกกว่า 4,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีความพร้อมเต็มที่สำหรับการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโปรเจกต์ Virtual Bank

รวมถึงโอกาสในกลุ่ม Media & Entertainment และมีการสำรองแผนไว้ในรูปแบบของ Plan B, C และ D เพื่อรองรับความยืดหยุ่น โดยในช่วงรอการตัดสินใจ บริษัทได้บริหารเงินสดตามนโยบาย Treasury Policy ที่เน้นความปลอดภัยของเงินต้นและมุ่งสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมภายใต้ความเสี่ยงต่ำ

สำหรับการจับมือกับพันธมิตรอย่าง Plan B เพื่อเข้ามาช่วยบริหารจัดการสื่อ Out of Home Media นับเป็นอีกกลยุทธ์สำคัญที่คาดว่าจะช่วยสร้าง Synergy ทั้งในด้านการรวมผลิตภัณฑ์และการประหยัดต้นทุน ซึ่งจะส่งผลดีทั้งต่อรายได้ (Top Line) และกำไรสุทธิ (Bottom Line) โดยเฉพาะในช่วงที่อุตสาหกรรม OOH เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวตามการกลับมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเมือง การทำงานที่ออฟฟิศมากขึ้น และจำนวนผู้โดยสาร BTS ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย อีกทั้งยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากนโยบาย “20 บาทตลอดสาย” ที่ภาครัฐประกาศว่าจะเริ่มบังคับใช้ในเดือนตุลาคม ซึ่งหากเป็นจริงคาดว่า Ridership จะเพิ่มขึ้นอีก 20–30% ซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญต่อการขายโฆษณาบนพื้นที่ BTS

แม้ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคยังมีความเปราะบาง จากการปรับลดคาดการณ์ GDP โดยหน่วยงานต่างๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ VGI มองว่าปัจจัยบวกเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นภายในประเทศ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของกิจกรรมในเมืองและการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์ของบริษัทเอง จะช่วยชดเชยแรงกดดันจากภายนอกได้อย่างมีนัยสำคัญ

Back to top button