พาราสาวะถี

แค่ประเดิมมาตรการขั้นต้นเปิด-ปิดด่านชายแดนตามคำสั่งของกองทัพบกก็ส่งผลทันที แต่เป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยจะประมาทไม่ได้ เพราะเล่ห์เหลี่ยมมนต์เขมรนั้นขึ้นชื่อเรื่องความปลิ้นปล้อนอยู่แล้ว


แค่ประเดิมมาตรการขั้นต้นเปิด-ปิดด่านชายแดนตามคำสั่งของกองทัพบกก็ส่งผลทันที แต่เป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยจะประมาทไม่ได้ เพราะเล่ห์เหลี่ยมมนต์เขมรนั้นขึ้นชื่อเรื่องความปลิ้นปล้อนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผลพวงที่ตามมาหลังจากที่กองทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่ 1 โดยกองกำลังบูรพาได้ดำเนินมาตรการเข้มข้นแนวชายแดน ทำให้ฝ่ายกัมพูชาได้ขอเปิดการเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานีทันควัน

เป็นการส่งเทียบเชิญของ พลโท รสรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ให้ฝ่ายทหารไทย นำโดย พลตรี สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พร้อมด้วย พลตรี ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เข้าร่วมหารือ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับกรณีปัญหาการรุกล้ำดินแดนในพื้นที่บริเวณช่องบก จากการหารือเบื้องต้น ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญคือ เห็นชอบการปรับการวางกำลังให้กลับไปสู่แนววางกำลังเดิมเมื่อปี 2567 เพื่อลดการเผชิญหน้า

ที่ฝั่งเขมรยอมเสียหน้า เหมือนเป็นหลักฐานชั้นดีว่าฝ่ายไหนเป็นผู้เริ่มจุดชนวนความขัดแย้งก่อน นั่นก็คือ การยอมกลบคูติดต่อหรือคูเลตกลับไปสู่สภาพเดิม ทั้งที่ ถ้าย้อนกลับไปฟังการปั่นกระแสของ ฮุน เซน อ้างหน้าตาเฉยว่าช่องบกเป็นของกัมพูชาตั้งแต่ก่อนจะมีการทำเอ็มโอยู 2543 เสียอีก นี่แหละฤทธิ์เดชเขมรของแท้ แน่นอนว่า ผลที่ออกมาเช่นนี้ย่อมจะเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดี หนุนให้การประชุม JBC ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ อันเป็นช่องทางในการหารือแนวทางบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนที่มีความขัดแย้ง ให้เกิดความยั่งยืนต่อไป

ความเร่งเปิดเจรจากับกองทัพภาคที่ 2 เพื่อยุติปัญหาบริเวณช่องบกของทหารกัมพูชานั้น คงเป็นผลมาจากการรีบออกตัวของ ฮุน เซน ต่อการที่กองทัพไทยใช้มาตรการปิดด่านข้ามแดน เพราะมีการโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กขอความเห็นใจจากชาวกัมพูชา อ้างว่ากรณีที่ไม่มีสินค้าของไทย โปรดอย่าตำหนิรัฐบาลกัมพูชาเพราะการขาดแคลนนี้เป็นผลโดยตรงจากการตัดสินใจของประเทศไทยในการปิดพรมแดน พร้อมเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาทุกคนรักษาความสงบ ความเป็นผู้ใหญ่ ความอดทน และความสุภาพ ด้วยความแน่วแน่ “หลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ที่จะเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติดูหมิ่นศักดิ์ศรีของเรา”

มันก็ชัดเจน และชี้ให้เห็นว่าความพยายามในการเปิดเกม สร้างปมขัดแย้งชายแดนกับไทยหนนี้ เป็นการหวังผลต่อกระแสความนิยมที่มีต่อรัฐบาลกัมพูชา ภายใต้การบริหารของฮุน มาเน็ต ลูกชายของฮุน เซน นั่นเอง ดังนั้น เมื่อเกิดผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของฝั่งไทย จึงต้องรีบออกตัว พร้อมเร่งเปิดการเจรจาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ มิเช่นนั้น หากขยับมาตรการเช่น การงดจ่ายไฟ ส่งน้ำมันหรือตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต เหมือนที่เคยใช้ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทางฝั่งเมียนมา นึกภาพไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในดินแดนเขมร

หลังเห็นแนวโน้มสถานการณ์น่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น น่าจะสร้างความผิดหวังให้กับบรรดากองแช่งไม่น้อย และคงทำให้บรรดาพวกปั่นกระแสคลั่งชาติหัวเสียกันยกใหญ่ เพราะเท่ากับว่า มาตรการที่ แพทองธาร ชินวัตร และฝ่ายบริหารดำเนินการร่วมกับทางกองทัพ ถือเป็นกลไกที่ถูกต้องตามวิถีการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ที่รัฐบาลและกองทัพเห็นตรงกันคือ ทุกคนในชาติต้องสามัคคี ไม่ตื่นตระหนกไปกับการปลุกปั่น หรือยั่วยุใด ๆ แก้ปัญหาอย่างมีสติ ไม่ใช้อารมณ์เป็นตัวนำ

อย่างไรก็ตาม ปมการโหมกระแสหวังจะทำลายความน่าเชื่อถือแพทองธารต่อความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุนนั้น คำตอบของ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ออกมาปกป้อง น่าจะช่วยทำให้บรรยากาศของการเตรียมเจรจาเรื่องปรับ ครม.เป็นไปในทิศทางเชิงบวกกับพรรคภูมิใจไทย โดยเสี่ยหนูแสดงความมั่นใจว่า ไม่มีผู้นำประเทศคนไหนที่จะเห็นความสัมพันธ์ส่วนตัวมากไปกว่าชาติบ้านเมือง พร้อมการันตีว่าแพทองธาร จะไม่เอาประโยชน์ของประเทศไทยไปแลกกับความสัมพันธ์กับใครก็ตาม

ไม่เพียงเท่านั้น ยังปกป้องพ่อนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ด้วยว่า เป็นอดีตนายกฯ ที่เคยพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วเมื่อมีข้อพิพาทก็ส่งยุทโธปกรณ์ เครื่องบินกดดันประเทศที่มีข้อพิพาท ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่า เมื่อถึงเวลาความสัมพันธ์ส่วนตัวมันไม่มีทางเหนือกว่าอธิปไตยของชาติบ้านเมือง ดังนั้น คนที่มาถึงระดับนี้แล้ว ขอให้เลิกวิตกกังวลว่าจะเอาประเทศไทยไปแลกมิตรภาพ มันไม่มี เพราะทุกคนมีเกียรติภูมิ โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำของชาติบ้านเมือง

แม้จะดูเป็นการพูดเชิงหลักการ แต่ท่วงทำนองของคนที่เป็นแกนนำในพรรคร่วมรัฐบาลต้องได้คนในลักษณะนี้ ทั้งที่ตัวเองและพรรคถูกมองว่ากำลังเผชิญกับแรงกดดันจากพรรคแกนนำ แต่ไม่ได้งอแง หรืออาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายถูกเล่นงาน มาสร้างความได้เปรียบ แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ ท่าทีเช่นนี้ ย่อมทำให้สิ่งที่นายกฯ หญิงกำลังพิจารณาอยู่ในใจ เมื่อถึงเวลาเชื้อเชิญเหล่าแกนนำมาหารือ ปมที่เคยโยนหินถามทางกันไว้ก่อนหน้า อาจมีความเปลี่ยนแปลง

การตอบคำถามนักข่าวด้วยการยืนกรานข้อตกลงเดิม เสมือนการไม่ยอมคืนเก้าอี้ มท.1 จะเป็นการสร้างปัญหาให้กับแพทองธาร และพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น ความจริงต้องยอมรับว่าเมื่อยังไม่ได้รับสัญญาณ ย่อมเป็นการตอบตามแนวทางที่ควรจะเป็น ทั้งหมดจะชัดเจนเมื่อมีการเรียกคุย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและข้อแลกเปลี่ยน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะไปเคาะกันในวงหารือทีเดียว ทุกอย่างต้องผ่านการประสาน พูดคุยกันนอกรอบมาก่อน

หากไม่กระโตกกระตาก หรือออกแอ็กชันในลักษณะที่จะรวมหัวกันแข็งข้อ สร้างพลังต่อรอง ใช้วิธีการยกหู หรือเข้าไปพบเพื่อเคลียร์กันเป็นการส่วนตัว ย่อมมีทางออกที่ทำให้เกิดความพอใจกันทั้งสองฝ่าย จนถึงเวลานี้ มีการคิดคำนวณตัวเลขเสียงหนุนของแต่ละพรรค แต่ละกลุ่มไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าพรรคแกนนำต้องการเก้าอี้กระทรวงสำคัญ ก็ต้องเสนอทางเลือกที่อีกฝ่ายยากจะปฏิเสธ จะไม่เกิดการหักดิบกันเหมือนในอดีต เพราะมีแต่พังกันทุกฝ่าย และจะไปเข้าทางพวกรอกระทืบซ้ำทันที

อรชุน

Back to top button